วันนี้จะได้นำเอา ความชั่วอีกตัวหนึ่ง มาพูดให้พวกเราได้ฟัง ความชั่วตัวนี้ ก็ได้แก่ กาเมสุมิฉาจาร กาเมสุมิจฉาจารตัวนี้ ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้วในปัญหา ในเรื่องสุรา สุรานั้น ทำไมในศีล 5 สุรานั้น จึงได้เป็นตัว ศีลตัวหนึ่ง ซึ่งไม่ให้กินดื่มของเมา แต่ทำไมมาพิจารณาดูในอกุศลกรรมบถ 10 อันได้แก่
กายกรรม 3
วจีกรรม 4
มโนกรรม 3 ทำไม่ไม่ปรากฎ สุรา ลงไปด้วย ตัวนี้ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว เราก็จะรู้ได้ว่า ตัวสุราตัวนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้นั้น ความจริงมันรวมอยู่ใน กาเมสุมิจฉาจารนั่นเอง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการเสพสุรานั้น เป็นเรื่องที่เราจะได้รับผล รับผลยังไง รับผลในเรื่อง ในข้อกาเมนั่นเอง คือทำกิเลส และตัณหา ให้มันบังเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวกาเมตัวนี้ ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว เราจะเห็นได้ว่า ความผิดตามประเวณี นั้น มันเป็นเรื่องที่ทำกัน ไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆ ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบถึง 4 องค์ โดยเฉพาะตัวกาเมนี้ ไม่ใช่สุรา กาเมนี้
องค์ประกอบตัวที่ 1 เรียกว่า อะคะมะนิยะวัตถุ หมายถึง วัตถุที่ไม่สมควรไป ตัวนี้หมายความว่าอะไร ถ้าเราพิจารณาดูในเรื่องเพศแล้ว ก็ได้แก่หญิงที่ไม่สมควรเสพ หญิงที่ไม่สมควรเสพนั้น ในแง่หยาบๆ เราพิจารณากันดูตามกฏหมาย เริ่มตั้งแต่ การเป็นชู้กัน ตัวนี้ถือว่า เป็นการผิดกฏหมาย และทางธรรมนั้น ก็ผิดอีก ตัวนี้เป็นตัวกาเม เห็นไหมว่า ตัวกาเมนี้เป็นตัวที่หยาบ แต่การที่จะผิดตามทางธรรมนั้น จะต้องมีองค์ประกอบ นอกจากหญิงที่ไม่สมควรจะเสพ นั่น เขามีเจ้าของแล้ว และผู้ที่ไม่มีเจ้าของ เขาไม่พอใจ ถ้าเราไปใช้อำนาจอะไรเช่นนั้น ก็ต้องผิดในตัวนี้เหมือนกัน นอกจากความหมายของผู้มีเจ้าของนั้นแล้ว
อุปกรณ์อีกตัวหนึ่ง ก็ได้แก่ ตะสมิง เสวะนะจิตตัง หมายความว่า ต้องมีจิตคิดจะเสพ ตัวนั้นอะไร คือ เจตนานั่นเอง ถ้าเราหลงงมงาย มันก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง อย่างคนบ้า อะไรนี้ มันก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง นั่น เพราะว่าสภาวะจิตมันบังคับ ให้เรากระทำไป เช่นนี้ ไม่ใช่ตัวเจตนา แต่ส่วนใหญ่ 99 เปอร์เซนต์ คนที่จะทำตัวกาเมนี้ จะต้องมีจิตคิดจะเสพ หรือตัวเจตนานี้เป็นตัวประกอบ อย่างไม่มีปัญหา นอกจาก วัตถุที่ไม่สมควร อันได้แก่ บุคคลที่มีเจ้าของแล้ว ประการหนึ่ง และมีเจตนาประการหนึ่งแล้ว
องค์ประกอบตัวที่ 3 ก็ได้แก่ เสวะนะปะโยโค หมายถึง พากเพียร พยายามที่จะเสพ หรือล่วงประเวณีเขาให้ได้เช่นนั้น ตัวนี้ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว ถ้าเราไม่รู้ หรือหญิงนั้น เขามาให้กับเรา โดยเราไม่รู้ และเราไม่ได้พากเพียรพยายาม ยังไม่เข้าถึงตัวกาเมตัวนี้ ฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมะนั้น ไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆ ปัญหาในเรื่องที่ว่า จิตคิดจะเสพนี้ ตัวสำคัญยิ่ง ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า กรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า สังเกตดูให้ดี ถ้าเราจะทำบุญทำกุศล ถ้าเราไม่มีเจตนาด้วยจิตเป็นมหากุศลแล้ว บุญกุศล เราก็ไม่เกิดขึ้น ดังนั้นในการทำความชั่ว ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้มีเจตนา ที่จะทำเช่นนั้นแล้ว ความชั่วมันก็ไม่เกิดขึ้น นอกจากวัตถุองค์ประกอบทั้ง 3 แล้ว อันได้แก่ วัตถุที่ไม่สมควร ประการหนึ่ง และ จิตคิดเจตนาที่จะทำเช่นนั้น ประการหนึ่ง และ ความพากเพียรทำ ประการหนึ่ง
อีกตัวหนึ่ง องค์ประกอบ ตัวที่ 4 ได้แก่ มัคเคนะมัคคะปะฏิปัตติ อธิวาสะนัง หมายความว่า พอใจทำสิ่งนั้นให้ล่วงไป หมายความว่า เมื่อมีจิตเจตนา เช่นนั้นแล้ว มีความพากเพียรพยายาม เช่นนั้นแล้ว แล้วพอใจในการกะทำเช่นนั้น และทำสิ่งนั้น สำเร็จไปแล้ว ตัวนี้แหละ ถึงจะครบองค์ความหมาย ของคำว่า กาเมสุมิจฉาจาร
ตัวกาเมสุมิจฉาจารตัวนี้ ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้ว มันไม่เหมือนตัวอื่น ตัวอื่นนั้นมีองค์ประกอบ ที่จะทำกันได้อย่างมากมาย อย่างเช่น การที่จะฆ่าสัตว์นั้น เราสร้างความชั่ว ได้หลายประการ นั่นคือ อาจจะฆ่าด้วย ตัวของตัวเองก็ได้ อาจจะใช้ ให้ผู้อื่นเขาฆ่าก็ได้ อาจจะใช้อาวุธสังหารก็ได้ อาจจะฆ่าเขาด้วยวางอุบายก็ได้ หรือสังหารด้วยไสยศาสตร์ก็ได้ หรือสังหารเขาด้วยอิทธิฤิทธิก็ได้ แต่ตัวกาเมนี้ไม่เหมือนเช่นนั้น สังเกตดูให้ดี เพราะว่าตัวกาเมตัวนี้ มีตัวเดียวเท่านั้น คือเราทำความชั่วด้วยตัวของเราเองเท่านั้น นี่ เป็นการเสพในกามคุณ
และปัญหาในเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อกี้ที่เราพูดมานั้นว่า นอกจากตัวนี้ จะเป็นตัวที่ปรากฎในศีล 5 แล้ว อีกตัวหนึ่งก็รวมอยู่ ในตัวกาเมอยู่ด้วย ตัวสุรานั่นเอง ฉะนั้นพิจารณาให้ดี ปัญหาในเรื่องสุรา กับกาเม ที่ผลจะได้รับนั้น มันมีความหมายผิดแผกแตกต่างกัน ซึ่งเราควรจะทำความเข้าใจกันเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะไม่พูดกันในเรื่องอนาคตกาล หรือจุติจิต และ ปฏิสนธิจิตเราจะไม่พูดกันในเรื่องนี้ แต่เราจะพูดกัน ในเฉพาะปวัตติกาล หมายความว่า อาจจะได้รับผล ในปัจจุบันชาตินี้หรือชาติต่อไป ซึ่งเป็นที่เราจะได้รับ แต่ไม่ใช่ในอนาคต อาจจะต่อไป อีกชาติหนึ่ง สองชาติก็ได้ เช่นนี้
ที่เราพูดกันมาเช่นนี้ ในเรื่องของ กาเม นั้น ผลที่ออกมาไม่ว่าในปัจจุบันชาติก็ดี หรือในอนาคตชาติก็ดี ตัวนี้ออกมาอย่างไร โดยเฉพาะ ในปวัตติกาล นั้น ตัวกาเมนี้ ผลที่จะได้ออกมานั้น มีอยู่ด้วยกันถึง 11 ประการด้วยกัน
ตัวที่ 1 มีผู้เกลียดชังมาก มีผู้เกลียดชังมาก สังเกตดูให้ดี ในชีวิตของคนเราทั้งหลาย ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้ว คนบางคน ทำไม มีคนรัก คนชอบ สนทนาวิสาสะ แต่บางคน ทำไมมีคนเกลียด คนชัง เช่นนั้น นั่นอะไร สิ่งนี้เป็นวิบาก ที่เขาได้รับในปวัตติกาลนั่นเอง
ฉะนั้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้แล้วว่า กรรมใดใครก่อ ผู้นั้นก็ได้รับ ฉะนั้นถ้าเรามาพิจารณาดูให้ดีแล้ว ตัวหยาบๆ ความชั่วตัวหยาบๆ ไม่ว่าการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การผิดประเวณี ดูให้ดีเถอะ ในชีวิตของคนเราทั้งหลายนั้น ต่างก็จะได้รับกัน แต่จะมีความสำนึกตัวหรือไม่ ไม่รู้ นอกจาก มีผู้เกลียดชังแล้ว
ตัวที่ 2 คุณสมบัติ ตัวที่ 2 ก็ได้แก่ มีผู้ปองร้าย สังเกตุดูให้ดี ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ก็ดี ไม่ว่าวิทยุก็ดี คนบางคนเดินๆไป ทำไมถูกตีหัวบ้าง ถูกแทงบ้าง ถูกฆ่าให้ตายบ้าง เหล่านี้ พิจารณาดูให้ดี ถ้าเขาไม่ได้ทำกรรมมาในอดีตแล้ว ตัวนี้เป็นตัววิบากกรรม ที่เขาจะได้รับ
วิบากกรรมที่ว่าปวัตติกาลนี้ อย่าเข้าใจนะว่าเราไม่ตกนรก เพราะบอกแล้วนี่ว่า ในเรื่องการตายนั้นเราไม่พูด เราจะพูดกันเฉพาะปวัตติกาลนี่ จะได้รับอะไรบ้าง คนที่ทำความชั่วนั้น นอกจากตกนรกแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะได้รับต่อไปอีก เพราะนรกนั้น เป็นกรรมหนัก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ หรือ อมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ได้อยู่ในนรก มันก็ต้องได้รับเหมือนกันทั้งสิ้น ฉะนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ตรัสสั่งสอนไว้ ในสรุปโอวาทปาฏิโมกข์ ข้อที่ 1 ว่า อย่าทำความชั่ว เราก็จ้ำจี้จ้ำไชกันมาตั้งนมนาน แต่ทุกคนไม่เข้าใจ คิดว่า ฉันไม่ได้ทำแล้ว แต่ทำไมไม่สดุดใจบ้างเหรอ แม้แต่เทวดาชั้นสูงๆ เขาก็ยอมรับ มีความผิดเช่นนั้น ถ้าเราตั้งตนอยู่ในความประมาทแล้ว เราก็คงจะหนีไม่พ้น นอกจากนี้แล้ว
คุณสมบัติประการที่ 3 ของในเรื่องกาเม ในปวัตติกาลนี้ คือ การขัดสนทรัพย์ การขัดสนทรัพย์ เห็นไหม คนบางคนทำมาหากิน ได้ทรัพย์สินเงินทองอุดมสมบูรณ์ แต่บางคนทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น ขาดตกบกพร่องกันไป นี่ ฉะนั้นเราจะเห็นในทุกวันนี้ แทนที่ว่าเมื่อขาดตกบกพร่องเช่นนั้น จะมีความสำนึกตัว ประพฤติชอบ ปฏิบัติชอบ กลับสร้างกรรม ต่อไปอีก ได้แก่ การลักเขา ขโมยเขา ฆ่าเขาเพื่อแย่งชิงทรัพย์สมบัติ พวกนั้น นั่นอะไร สร้างมันให้หนักเข้าไปอีก แล้วผลมันจะออกมา เป็นอย่างไร เช่นนี้ คิดเอาดูให้ดีก็แล้วกันพิจารณาดูเหอะ นอกจากนี้แล้ว
สมบัติข้อที่ 4 ที่จะได้รับทางกาเมนั้น ก็ได้แก่ การยากจน การอดอยาก สังเกตุดู พวกเราทั้งหลายอย่าทะนงตนว่า เรามีกินมีใช้ คนไทยทั้ง 46 ล้านคนนั้น มีกินมีใช้ เหมือนกันหมดทุกคนหรือเปล่า พิจารณาเอาเอง บางคนก็อดอยากยากจนอย่างแสนสาหัส ถ้าเขาไม่ได้สร้างกรรมชั่ว มาเช่นนี้แล้ว เขามีความเคารพ ต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้กระทำความชั่ว เขาก็คงจะไม่ได้รับผลวิบากกรรมเช่นนั้น นอกจากนี้แล้ว
อีกตัวหนึ่ง สิ่งที่จะได้รับนั้น พอพูดมาเช่นนี้ พวกเราก็อาจจะมีความสงสัยว่า มันเป็นไปได้หรือไม่ สิ่งนั้นคือ การเกิดมานี้จะต้อง มีเพศเป็นหญิง การที่มีเพศเป็นหญิงนี้ ขอให้พวกเราทั้งหลาย จงทำความเข้าใจกัยเสียก่อน การที่ว่ามีเพศหญิงนั้น ในอดีตชาติเราก็เป็นหญิง แล้วเราก็เกิดเป็นหญิงได้ แต่ผู้ที่เป็นชาย เมื่อตายแล้ว เกิดมาเป็นหญิงนี่ซิ ตัวนี้แหละ แต่ถ้าพูดกันไปแล้ว ถ้าทุกคนมีความเข้าใจว่า ในอดีตชาติเป็นของมีจริง อนาคตชาติเป็นของมีจริงแล้ว เราก็คงไม่ทำความชั่วแต่ประการใด ปัญหาในเรื่องเพศนี้ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เพศนั้นมีอยู่ 2 เพศ คือเพศชายและหญิง เพศหญิงนี้ เราอาจในอดีต เราอาจจะเป็นเพศหญิง แล้วเราก็กลับมาเกิดเป็นเพศหญิงได้ แต่ถ้าเป็นผู้ชายกลับมาเป็นหญิงนี้ ตัวนี้แหละ ตัวกรรมละ ตัววิบากกรรม และประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องเทวดานั้น เทวดาชั้นต่ำๆเท่านั้น ที่จะมีเพศเป็นหญิง ถ้าชั้นสูงแล้ว จะไม่มีเลย มีแต่เพศเป็นชายทั้งสิ้นเมืองไทยเรานี้ พิจารณาดูให้ดี สังเกตดูให้ดีว่า พลเมืองของเรานั้น 46 ล้านคนนั้น ทำไมถึงได้มีผู้หญิง มากมายก่ายกองเหลือเกิน ถ้าเราไม่มีอดีตชาติ มีเพศเป็นหญิง และถ้าเราสร้างกุศลผลบุญให้แก่กล้ายิ่งขึ้นแล้ว เพียงแต่ก้าวไปถึงเทวดาชั้น 3 ก็เปลี่ยนเพศไปหมดแล้ว ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด และเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ต้องเป็นผู้ชาย แต่ถ้าในอดีตเราเป็นผู้หญิง เราไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศลอันถูกต้องให้เกิดขึ้น เราก็อยู่ในสภาพเช่นนั้น เราจงพิจารณาดู ความแตกต่างกันระหว่างเพศนี้ มันสร้างบุญสร้างกุศลได้ผิดกัน
และอีกตัวหนึ่ง ผลที่จะได้รับ อีกตัวหนึ่ง พวกเรานี้ไม่มี แต่พวกเราเข้าใจว่า บางคนคงจะได้พบมาแล้ว ตัวนั้นอะไร ผลแห่ง กาเมสุมิจฉาจาร นี่แหละ ก็ตัว กะเทย นั่นเอง กะเทยง่ะ เห็นไหม เป็นผู้ชาย ทำไมทำตัวเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงทำไมทำตัวเป็นผู้ชาย เอาละซิ เห็นไหม มันเป็นอย่างนี้ พวกกะเทยพวกนี้ ถ้าเราเข้าถึงธรรมอันสมควรแก่ธรรมแล้ว ถ้าเราพิจารณาดู ในอดีตเข้าเถอะ เขาเป็นอะไรเล่า ตัวนี้ หนักกว่าเป็นเพศหญิงอีก
เห็นไหม นี่ ฉะนั้นเราทำอะไร เราจงพิจารณาไตร่ตรองกัน ถ้าเราขาดสติสัมปชัญญะ อย่าหวังเลย ที่เราจะไม่กระทำความชั่ว แม้แต่เทวดาชั้นสูงๆ เขาก็สำนึกได้ ว่าเขาได้กระทำไปแล้ว ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพราะผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะทั้ง 31 ภพภูมินั้น ต่างก็ยังมีกิเลสและตัณหากันอยู่ทั้งสิ้น ตัวกิเลสและตัวตัณหานี้แหละ มันจะเป็นตัวยุยงส่งเสริม ให้เรากระทำความชั่ว ให้เกิดขึ้น นอกจากคุณสมบัติตัวที่ 6 ซึ่งเป็นกระเทย ที่พวกเราไม่มีกันนั้นแล้ว ยังมีอีกตัวหนึ่ง
คุณสมบัติ ตัวที่ 7 เข้าใจว่า พวกเราคงได้ประสบ พบกันบ้างหรอก นั่นก็ เมื่อเกิดมาเป็นชายก็จริง แต่ เกิดในตระกูลอันต่ำช้า อาจจะเป็นขอทานก็ได้ อาจจะเป็นมหาโจรก็ได้ นี่ แทนที่จะเกิดมาในตระกูลที่ดี กลับเกิดในตระกูล ที่เลวทรามเช่นนั้น นี่ ตัวนี้ ตัวอะไร ตัวเราผิดประเวณีนั่นเอง
ถ้าเราพิจารณาตัวให้ดีแล้ว ในปวัตติกาล เป็นเรื่องที่เข้าใจกัน ยากเหลือเกิน คนบางคนคิดว่า ทำความชั่ว เมื่อได้รับกรรม คือตกนรกหมกไหม้ไปแล้ว คิดว่า จะสิ้น ยังไม่สิ้น ยังไม่สิ้น เราจะต้องได้รับ เบากว่านั้นอีก ปวัตติกาลนี่ รับเบาแล้วนะ นี่ ตัวนี้เบาแล้ว นอกจากเป็นชายในตระกูลที่ต่ำช้าแล้ว
ตัวที่ 8 คุณสมบัติตัวที่ 8 จะเป็นหญิง หรือเป็นชายก็แล้วแต่ ตัวนี้ก็จะได้รับความประสบพบเข้ากับ ความอับอายเป็นอาจิณ เราสังเกตดูให้ดี ถ้าเราอ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ เราสังเกตดูให้ดี คนบางคนน่ะ ทำไมออกมา มีแต่คนตำหนิติเตียน อยู่สม่ำเสมอ นั่นเพราะอะไร ในอดีตถ้าเขาไม่ได้ทำกรรมชั่วมาเช่นนั้นแล้ว วิบากกรรมเช่นนี้เขาจะได้รับเหรอ นอกจาก ได้รับความอับอาย ตลอดเวลา พบอะไรก็ถูกตำหนิติเตียน ตลอดเวลา สังเกตดูซิ สังเกตดูให้ดีก็แล้วกัน ถ้าเราใช้สติปัญญาดูให้ดีแล้ว จงสังเกตดูเหอะ
คุณสมบัติ ประการที่ 9 ในเรื่องความผิดในเรื่องนี้ ก็คือ ร่างกายไม่สมประกอบ ร่างกายไม่สมประอบ อ้ายพวกเรานี่ มันสมประกอบไปทั้งหมด แต่บางคนสังเกตดูให้ดี บางคนก็ง่อยเปลี้ยเสียขาบ้าง บางคนก็เป็นอย่างโง้นบ้าง บางคนก็เป็นอย่างนี้บ้าง แต่เดี๋ยวนี้หาดูได้ยาก เพราะเขาเก็บรวบรวมกันไว้หมดแล้ว แต่ก่อนนี้เยอะแยะเหอะ เมื่อผมยังตัวเล็กๆ อยู่นี่ เขาปะปนอยู่ในคนทั้งหมด แต่เดี๋ยวนี้ คล้ายๆ เขาตั้งเป็น อ้ายอะไรล่ะ เอาเข้าไปเก็บไว้หมดแล้ว เป็นคนที่ไม่สมประกอบ นอกจากคุณสมบัติประการที่ 9 แล้ว
ตัวที่ 10 คุณสมบัติตัวที่ 10 คุณสมบัติตัวที่ 10 ตัวนี้ เต็มไปด้วยความวิตกห่วงใย สังเกตดู สังเกตดูให้ดี คนบางคนนี่ มีแต่ความวิตกห่วงใย เท่านั้นตลอดเวลา ไม่มีความสุขความสงบเลย ดูให้ดีก็แล้วกัน เช่นนี้ มันเป็นเช่นนี้
อีกตัวหนึ่ง ตัวที่ 11 ตัวสุดท้าย ได้แก่ การพลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก นั่น เห็นไหม ตัวนี้ ตัวนี้ สังเกตดู สังเกตดู วิทยุออกข่าวสม่ำเสมอ บ่อยๆ นี่ เป็นพระธรรมคำสอน ผลที่เราจะได้รับ ในปวัตติกาล คือชาตินี้ก็ได้หรือชาติต่อไปก็ได้แต่ไม่ใช่เรื่องการตกนรกหรืออะไร นั่นคนละเรื่อง อีกอย่างหนึ่งเราจะไม่พูดกัน นี่ แม้แต่เราตกนรก ได้รับมาแล้ว มันก็จะได้รับผล ให้ย่อย ให้บางลงไปกว่านี้อีก นี่
เมื่อกี้ ได้พูดมาแล้วว่า สุรา นั้นเป็นตัวศีลที่ 5 ถ้าผมจำไม่ผิด แต่ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้แล้ว ในเรื่องอกุศลกรรมบถ 10 จึงไม่มี สุรา มาปะปนด้วย ความจริงนั้นสุรา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้แล้วว่า เป็นตัวที่ส่งเสริมกิเลสและตัณหาให้เกิดขึ้น ฉะนั้นจึงจัดอยู่ในประเภทกาเม ในเรื่องอกุศลกรรมบถ 10 แต่ผลที่จะได้รับนั้น มันผิดแผกแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสมบัติที่จะได้รับนั้น
ตัวที่ 1 ทรัพย์ถูกทำลาย ทรัพย์ถูกทำลาย อาจจะทำลายด้วยตัวของตัวเองก็ได้ หรือถูกผู้อื่นทำลายก็ได้
ตัวนี้ ตัวสุรา ความหมาย ของคำว่า " สุรา " ตัวนี้ อาจจะเป็นเหล้าก็ได้อาจจะเป็นเบียร์ก็ได้ อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ ที่มันเสพเข้าไปแล้ว ทำให้เราเจริญขึ้น ในเรื่องกิเลสและตัณหานั่นเอง เราจะสังเกตดูให้ดี แม้แต่อ้ายยาบางอย่างนี่ ว่ากินเข้าไปแล้วนี่ แหม เพิ่มให้มีอ้ายความรู้สึก อะไรต่างๆ นี่ ตัวนี้ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้วนี่ แม้ตัวนี้ก็จัดเป็น ถือว่าเป็นสุราได้นะ ฉะนั้นสุรา นี่ มันมีมากมาย หลายประการเหลือเกิน ถ้ามันเป็นตัวเพิ่ม กิเลสและตัณหาให้เกิดขึ้นแล้ว ถือได้ว่าเป็นสุราทั้งหมด นี่ ผลตัวแรก ที่ 1 ก็คือ ทรัพย์ถูกทำลาย
ตัวที่ 2 ในปวัตติกาลนั้น ก็ได้แก่ การเกิดวิวาทบาดหมางกันในชีวิตบ่อยๆ สังเกตดูให้ดี คนบางคนพวกเรานี่แหละ แต่ขณะวันนี้ไม่ได้มา ทำไมวุ่นวายเหลือเกิน นี่ นั่งทะเลาะ นั่งวิวาทกัน โดยไม่มีเรื่องมีราว ก็ทำไปเช่นนั้น นั่น ถ้าในอดีตเขาไม่ได้ทำกรรมเช่นนั้นแล้ว ผลวิบากเช่นนี้ มันจะได้มีแต่ประการใด นอกจาก ทรัพย์ถูกทำลาย ประการที่ 1 และการวิวาทบาดหมางกันแล้ว
ตัวที่ 3 ผลที่จะได้รับนั้น ก็คือ เป็นบ่อเกิดของโรค ความว่า หมายว่า " เป็นบ่อเกิดของโรค " นั้น ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง ผลนั้นมันจะต้องเกิดจากเหตุ โรคทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาในเรื่องอะไรล่ะ อ้ายที่มันเป็น มันเป็นแล้วรักษาไม่ได้น่ะ เขาเรียกอะไรล่ะ อ้ายมะเร็งง่ะ โรคมะเร็งง่ะ โรคมะเร็งน่ะ ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว ถ้าเราไม่ได้สร้างกรรมมา มันเกิดขึ้นไม่ได้ สาเหตุของโรคมะเร็งนี้อะไร พวกเราเป็นหมอ ที่เข้าถึงธรรมแล้ว ถึงได้รู้ ความจริงนั้น มะเร็งนั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นง่ายๆ ที่มันเกิดขึ้น ทางแพทย์ค้นพบนั้น มันปรากฏแล้ว แต่ถ้าเราเข้าถึงธรรมจริงๆแล้ว มะเร็งตัวนี้ ตัวอะไร ความลามกที่เขาเอามาทิ้งไว้ให้เรา ตัวนั้น ตัวอะไร ตัวเปรตนั่นเองง่ะ มันเข้ามาอยู่ในที่ ที่หนึ่งที่ใดในตัวเราแล้ว เขาก็ถ่ายอ้ายความโสโครก เขาทิ้งเอาไว้ นี่ ถ้าเราไม่รู้เท่าทันพอ แก่เข้าๆ ปรากฏผลมะเร็งมันเกิดขึ้น แล้วพวกเราบางคนนี้ มีสภาวะความรู้สึกเช่นนั้น เราก็สามารถป้องกัน และหายไปได้ นี่ ตัวธรรมะ ไม่ใช่เรื่องของการแพทย์ เพราะว่าทางแพทย์นั้น เขาพยายามทำอย่างไร เขาหาเหตุไม่ได้ ในเรื่องนี้ เพราะเหตุไร ทางแพทย์นั้นน่ะ รักษาหายแล้ว แต่ทีนี้อ้ายเหตุนั้นน่ะ คือ เปรตนั่นน่ะ มันยังอยู่นี่ รักษาหายชั่วขณะ แล้วมันก็ถ่ายถ่าย ถ่ายออกไปอีก มันก็เป็นต่อไปมากเข้าๆ แต่ถ้าธรรมะแล้วเราแก้อะไร แก้ด้วยเหตุ คือจะทำยังไงจะไล่เขาออกไปได้ เมื่อไล่เขาออกไปได้แล้ว เรารักษาทางแพทย์ เรื่องมันก็ง่ายและหายได้ นี่ ตัวนี้ เป็นตัวบ่อเกิดแห่งโรค นี่
ฉะนั้นผู้ใด ที่ยังติดเหล้าติดยาอยู่ ก็เอาเข้าไป อ้ายตัวสุรานี้นะ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ ไม่เป็นน้ำก็ได้ อ้ายพวกเป็นควันน่ะ เพราะตัวนี้เป็นตัวยาเสพติดนี่ เวลานี้แพร่สะพัดกันเยอะแยะ
คุณสมบัติอีกตัวหนึ่ง คือ ตัวที่ 4 ผู้ที่ได้ทำความผิด ในศีลตัวนี้มาแล้ว ในปวัตติกาล ความเสื่อมเกียรติ เกียรติยศชื่อเสียง จะไม่มีเกิดขึ้นกะเขาแต่ประการใดเลย นี่ ฉะนั้นถ้าพวกเราไม่อยากหน้าด้าน เราอย่าไปแตะต้องมันเลย ไม่ว่าน้ำ หรือจะเป็นควันอะไรน่ะ อย่าไปเอามันเลย
เวลานี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกวัยรุ่น จำนวนเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ไม่ใช่น้ำ ถ้าจะมาพูดกัน เขาบอกว่า เขาไม่ได้เสพสุรานี่ อ้ายนี่ เพียงแต่เขากินเขาไปเท่านั้น หรือดมไปเท่านั้น ถ้ามาพูดตามภาษาธรรมะแล้ว ทุกอย่างอยู่ในเรื่องสุราทั้งหมด
คุณสมบัติประการที่ 5 ที่เราจะได้รับจากการเกิดนี้ ก็คือ หมดยางอาย คือ หน้าด้านนั่นแหละ นี่ อ้ายคำว่า " หน้าด้าน " ในที่นี้นี่ มองดูให้ดีนะ หมายถึงเขากระทำความผิด โดยไม่เกรงกลัวต่อความผิด ไม่ใช่หน้าด้านอย่างผม ถ้าหน้าด้านอย่างผมนี่ ผิดเหมือนกัน ผิดยังไง ผิดที่มาติเตียนพวกเรา ผิดมา ที่มาจ้ำจี้จ้ำไชพวกเรา เพื่อปรารถนาจะไม่ต้องการ ให้พวกเราได้รับความทุกข์กันต่อไป ตัวนี้ถ้าจะพูดกันทางโลก เรียกว่าผิดประเพณี มีแต่เขายกยอปอปั้น แต่ผมน่ะ ไม่ยกยอปอปั้นพวกเราทั้งหมด เพราะเหตุไร สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้สั่งสอนเช่นนั้น ผมมันเป็นคนโบราณ ทำอะไรก็ว่ากันไปจริงๆ แล้วจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็แล้วไป นอกจากนี้แล้ว
คุณสมบัติตัวที่ 6 เป็นตัวสุดท้าย เรียกว่า ปัญญาเสื่อม หรือความโง่เกิดขึ้นนั่นเองง่ะ
นี่ เป็นคุณสมบัติ ในการที่เราล่วงประเวณี หรือการเสพของมึนเมา เช่นนี้ ผลมันก็ออกมาอย่างนี้ แต่จะจริงหรือไม่จริง ผมไม่รู้นะ เพราะว่าผมไม่ได้ยุ่งด้วย
นอกจาก การเสพของมึนเมา และกาเม เช่นนี้แล้ว ถ้าจะมาดู ในเรื่องอกุศลกรรมบถ 10 ในทางกายนั้น ก็ได้แก่
การเบียดเบียนเขา หรือการฆ่าเขา ประการหนึ่ง
ตัวที่ 2 การลักขโขมยเขา ประการหนึ่ง
ตัวที่ 3 ตัวการผิดประเวณี และการเสพของมึนเมา ประการหนึ่ง
นี่ เป็นการที่ครบ ตัวความหยาบๆ ในเรื่องของการทำความชั่ว ทางกายอย่างหยาบๆ ตามที่ทำไปแล้ว เราก็จะต้องได้รับผลวิบากกรรม ในเรื่องเมื่อเราตายไปแล้ว ก็ได้รับผล แต่ที่เราพูดกันมานี้ เป็นเรื่องของปวัตติกาล อาจจะเป็นในปัจจุบันชาติ หรือชาติต่อไป ไม่เกี่ยวกับการตกนรกหมกไหม้ ไม่เกี่ยว คนละเรื่อง นรกหมกไหม้ เราก็คงจะได้รับเหมือนกัน
เมื่อเราทำความเข้าใจกัน ในตัวหยาบๆ ทั้ง 3 ตัวมานี้แล้ว สังเกตุดูให้ดี พวกเราทั้งหลาย ปากมีอยู่หรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่ผมนี่ มีแน่ๆ ถ้าไม่มีแล้ว คงจะไม่พล่ามเพ้อเจ้อ อย่างนี้เป็นแน่ ตัวนี้ละ ปากของเรา มีคนละปาก แต่ทำไม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ตักเตือนเรา อย่าไปทำเลยนะซึ่งความชั่วทางปาก ถึง 4 ประการด้วยกัน ทั้งๆ ที่เรามีเพียงปากเดียวเท่านั้น ฉะนั้นถ้าเราจะมาพิจารณากันดูหยาบๆ แล้ว คนที่เข้าไม่ถึงธรรมะก็ บอกว่า อ้ายอย่างนี้ไม่จริง เพราะว่า ปากฉันมีอันเดียวเท่านั้น ไม่เห็นจะต้องไปทำความชั่วอะไรเลย แต่ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาแล้ว ปากของเรานี่อาจจะติดตารางก็ได้ ความหมายของคำว่า มุสา นี้ พวกเราทุกคนคงจะรู้กันละ อ้ายมุสานี่ โกหกนั่นเองง่ะ อ้ายโกหกนี่ เราสังเกตุดูให้ดี มันไม่ใช่โกหกกันง่ายๆ ผมเอง ผมก็โกหก แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้ว แทนที่ว่า เราจะได้รับอกุศลวิบากกรรม คือ ตกนรก หรืออะไร ไม่ใช่ เพราะว่า การพูดนั้นนี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บอกแล้วอยู่ที่เจตนา สังเกตดูให้ดี ทำไมผมถึงได้บอกว่า ผมโกหก เพราะการที่เราพูดธรรมะกันนี่ พวกเราส่วนใหญ่ เราไม่ได้ศึกษา ไม่ได้อบรมกันมา ถ้าเราพูด ตามความเป็นจริง นั่น พูดอะไร พูดในสิ่งที่ ไม่มีประโยชน์ แทนที่ จะมาอธิบาย ความเข้าใจ ความหมาย ให้เขาเข้าใจแล้ว แทนที่ว่า ผมจะโกหก แล้วก็ได้ผลบุญกุศล กลายเป็นอะไร ให้ธรรมอันไม่สมควรแก่ธรรม ปัญหาในเเรื่องนี้ ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าภิกษุ หรือฆราวาส การที่จะให้ธรรม แก่บุคคล ที่สมควรนั้น เป็นการยาก ยากเพราะเหตุอะไร สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้แล้ว เมื่อ 2524 กว่าปีมาแล้ว พระองค์ตรัสนั้น ผู้ที่พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาต้องมีบุญ มีบารมี ฉะนั้นพระองค์พูดสั้นๆ เขาก็ต้องมีความเข้าใจ แล้วเรามาพูดกันเช่นนั้น จงสังเกตดูเหอะ ผู้ที่เขาเข้าธรรมกันนั้น ส่วนใหญ่บรรลุมรรคบรรลุผลกันไปหมดแล้ว และผลสุดท้ายเป็นอะไรไป คิดเอาเอง ตัวนี้เป็นตัวที่สำคัญยิ่ง
เราทำอย่างไร เราถึงจะทำประโยชน์ให้เกิดขึ้น ทำมันอย่างไร ถึงจะทำให้เขามีความเข้าใจ เพียงแต่ว่า มุสาตัวนี้ เอ้า ห้ามไม่ให้ทำความมุสา อ้ายไม่ได้ทำความมุสาน่ะ ทำยังไงล่ะ มันถึงจะเป็นมุสา หรือไม่มุสาก็ได้ คำพูดอันเดียวกัน เป็นมุสาก็ได้ ไม่เป็นมุสาก็ได้ พิจารณาดูให้ดีเถอะ ฉะนั้นการที่เราจะทำความเข้าใจ ในธรรมะนั้น ไม่ใช่เข้ากันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัญหาในเรื่องความชั่วทางกายนี้ เราทำกันได้ง่ายๆ เหรอและป้องกันกันได้ง่ายๆ เหรอ หรือเพียงทำบุญทำกุศลนี่ คิดเหรอว่าทำกันได้ง่ายๆ เพียงแต่ ทานตัวเดียวเท่านั้น ใครๆ ก็บอกว่า ให้ทานนี่ แหมได้บุญได้กุศล มันจะได้อย่างไร บางคนให้ทานตลอดชีวิต ทำไมตายไปกลับเป็นเปรตก็มี เป็นอสุรกายก็มี ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่า ไม่มีความเข้าใจ เช่นนี้
ทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะต้องทำความเข้าใจกัน ไม่ใช่เข้ากันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า " มุสา " นี้ หรือโกหกนี้ มีองค์ประกอบกันอยู่ด้วย ถึง 4 องค์ 4 ตัว องค์ประกอบ
ตัวที่ 1 เรีกยว่า อะตะถะวัตถุ หมายความว่า เรื่องไม่จริง เรื่องไม่จริง เรื่องไม่จริง แต่ทำไมเล่า แม้แต่เรื่องไม่จริงนี้ เราก็ได้บอกกันว่า อย่าทำนะ ซึ่งความชั่ว ถ้าเราทำความชั่วแล้ว เราจะได้รับผลชั่ว อ้ายนี่เรายังไม่ได้ทำ อะไรกันเลย เรามาเตือนกัน มันก็ไม่จริงอีกละซี นี่ เห็นไหมฉะนั้นมันจะต้อง มีองค์ประกอบ ถ้ามันไม่มีองค์ประกอบแล้ว ไม่ว่าในแง่ของธรรมะก็ดี หรือในแง่กฏหมายก็ดี เราสังเกตดูให้ดีเถอะ ทั้งกฏหมายอาญา และกฏหมายแพ่ง ทุกอย่าง จะต้องมีองค์ประกอบทั้งหมด ถ้าเราไม่มีองค์ประกอบแล้ว ผลมันจะไม่เกิดขึ้นเช่นนั้น มันจะกลายเป็นคนละอย่าง แม้แต่ธรรมะก็เหมือนกัน ฉะนั้นคำว่า " มุสา " นี่ ถ้าไม่มีองค์ประกอบ อย่างว่าพวกท่านทั้งหลาย ยังไม่ได้กระทำความชั่ว เราก็บอกว่า อย่าทำ อ้ายนั่น มันอย่างนั้น อย่างนั้นนะ อ้ายนี่ ก็ยังไม่ได้ทำ เราก็เป็นมุสาน่ะซิ เพราะเขายังไม่ได้ทำนี่ แต่ทำไมเราถึงได้พูดเช่นนี้ พูดด้วยเจตนาหวังดี ตัวนี้ มันคนละเรื่อง ฉะนั้นคำว่า " มุสา " นั้นมันถึงได้มีองค์ประกอบ ไม่ว่าการทำความดี หรือการทำความชั่ว ทั้งในทางโลก และทางธรรม ถ้าทางโลก พวกเราได้ศึกษาปัญหาในเรื่องกฏหมายอาญาแล้ว จะต้องมีองค์ประกอบ ในการทำความผิด แต่ละเรื่องแต่ละราว ไม่ใช่เพ้อเจ้อ บางคนฆ่าคนตาย ทำไม่ไม่ผิด ทำคนตาย ทำไมไม่ผิด บางคนทำไมถึงได้ผิด ถูกประหารชีวิต นี่ ทุกอย่างนี่ ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว ปัญหาในแง่ของกฏหมาย กับปัญหาในเรื่องของธรรมะ มันไปด้วยกันได้ อย่างพวกท่านทั้งหลาย นั่งอยู่นี่ เราเกลียดหน้า เราก็เอาปืนยิงโป้งไป ตาย อ้ายนี่ ผิด กฏหมายแน่ ไม่มีปัญหา เป็นการตรงกันข้าม ขณะนั่งกันอยู่นี่ ฝนตกมา หลังคารั่ว เราก็ขึ้นไปอุดหลังคา ตกตุ๊บลงมา โดนคอหักตาย อ้ายนี่มันคนละเรื่อง กฏหมายไม่ได้ผิด และในเรื่องของธรรมะก็ไม่ได้ผิด เห็นไหม ตายเหมือนกัน แต่ผิดกัน ฉะนั้นมันจะต้องมีองค์ประกอบ ฉะนั้นการที่เราจะทำความดี หรือทำความเลวอะไรนั้น เราจะต้องเข้าใจ แล้วเราก็จะเดินในทางที่ถูกที่ต้องกันต่อไปได้ นอกจากอุปกรณ์ตัวที่ 1 ที่ว่า อะตะถะวัตถุ คือ เรื่องไม่จริงนั้น หรือวัตถุเทียมนั้น ประการหนึ่ง
ตัวที่ 2 คือ วิสังวาทะนะจิตตา หมายความว่า มีจิตคิดจะมุสา เห็นไหม ตัวนี้ ตัวเจตนา แต่ตัวกฏหมายสาวไปไม่ถึงตัวนี้ แต่ตัวธรรมะสาวถึง เห็นไหม เราจงสังเกตดู เราจะทำความดีก็จริง ทำความชั่วก็จริง อ้ายเจตนานี่ เป็นตัวเจตสิกตัวหนึ่ง มันเป็นตัวกลาง คบในทางดีก็ได้ คบในทางชั่วก็ได้ ผลยังไงๆ มันเกิดขึ้นทั้งนั้น ทั้งดี ทั้งชั่ว เจตนาตัวนี้ เห็นไหม ตั้งแต่เราทำกันทางความหยาบๆ ในเรื่องทางกายนั้น เจตนาตัวนี้ เห็นไหม เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ฉะนั้นเราจะทำอะไร อยู่ที่เจตนาเป็นสำคัญ ฉะนั้นผู้ที่ แหม เข้าวัดเข้าวา ทำบุญทำกุศล ยังโง้นยังงี้ นั้นน่ะ ไม่ว่าจะทำบุญ จะฟังเทศน์ฟังธรรมอะไร แหม เจตนา ฉันอยากได้บุญได้กุศล ลาภนมัสการ นั่นหรือเจตนาที่ดี บุญมันจะได้อย่างไร เพราะอ้ายเจตนาตัวนี้ การที่เราจะสร้างบุญสร้างกุศลนี่ มันต้องเป็น มหากุศลจิต 8 ดวงนั้น นั่นอะไร บุญกุศลมันก็เกิดขึ้น อ้ายการเข้าวัด แต่ฉันอยากได้บุญ มันตัวอะไร ตัวอกุศลมูลจิตนั่นซิ แล้วมันจะได้บุญได้ยังไง มันก็เท่งทึ้งไปล่ะซิ เอ้อ ต่อให้มีทรัพย์สินมากมายก่ายกอง ขายให้หมด แล้วเอาไปทำบุญ ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญ ตัวนั้นตัวอะไร ตัวโลภะ ถ้าไม่ใช่ตัวโลภะ ก็ตัวโมหะ ตัวโลภะทำแล้วได้อะไร ก็ได้อ้ายตัวยาวๆ ง่ะ เขาเรียกว่าเป็ดน่ะ แต่มันไม่มีปีก มันมี 2 ตีนเหมือนอย่างเรา อ้ายตัวยาวๆ สูงๆ ง่ะ เปรตยังไงล่ะ อ้ายตัว ตัวที่ทำให้เป็นมะเร็งง่ะ นี่ ตัวเปรต นี่เพราะความโลภะของเรา หรือ ถ้าเราทำด้วยความงมงาย ไม่ได้ทำด้วยสติปัญญา ตัวอะไร ตัวนี้ตัวอะไร อ้ายที่มันวิ่ง แล้วเห่าโว้งๆ ง่ะ นี่ ตัวสัตว์เดรัจฉาน ยังไงล่ะ คิดเอาซิ การที่เราจะทำอะไรนี่ ทำกันได้ง่ายๆ เหรอ ฉะนั้นเราถึงได้พูดตักเตือนกัน แต่จะสนใจก็สน ไม่สนก็แล้วไป เอ้อ นอกจากตัวเรื่องที่ไม่จริง และมีเจตนาคิดจะตอแหล หรือโกหกเขาเช่นนั้นแล้ว
องค์ประกอบตัวที่ 3 คือ ปะโยโค ประกอบไปด้วยความเพียร ความเพียร เพียรที่จะมุสาเช่นนั้น เราจงสังเกตดู ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่านักการเมืองหรือนักการค้าทั้งหลาย เขามีความเพียร เพียรยังไง เพียรมุสา เพื่อเขาจะได้ลาภผลให้มันเกิดขึ้น คิดดูก็แล้วกัน แล้วผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร
นี่ เป็นตัวคุณสมบัติ ในการที่เราจะโกหกกัน ฉะนั้นตักเตือนพวกเราทุกคน ถ้าใครจะมาโกหกผม โกหกให้ครบองค์นะ เอ้อ อย่าไปโกหกตัวเดียว ครึ่งตัวนี่มันไม่ได้ผล นี่ นี่เป็นตัวที่ 3 คุณสมบัติ เราจะต้องครบอีกตัวหนึ่ง ตัวที่ 4 ตัวนี้เป็นตัวสุดท้าย ถ้าเรามีครบองค์แล้ว มุสา แน่ๆ แล้วผลมันจะออกมา เป็นยัไง ผมไม่รู้ ตัวนี้ก็คือ ปรัสสะ ตะทัตถะ วิชานะนัง หมายความว่า ผู้ฟังเชื่อตามคำกล่าวนั้น ถ้าพวกคุณทั้งหลาย พูดแต่ไม่มีใครเขาเชื่อ อ้ายตัวนี้มันไม่เกิดผล อ้ายไม่เกิดนี่ หมายความว่า ไม่ใช่ไม่เกิดในเรื่อง ของปวัตติกาล ไม่ใช่นะ ไม่ถึงลงนรกง่ะ ไม่เกิด
ถ้าเรา ครบองค์ 4 นี้แล้ว ยังไงๆ ผลมันก็จะต้องเกิดขึ้น ไม่มีปัญหา เพราะว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คงไม่ได้มุสา กะพวกเราหรอก แต่ที่ พระองค์ตักเตือนนั้น ก็เป็นความปรารถนาดี นั่นคือ อะไร สิ่งนั้น ก็คือ พระมหากรุณาธิคุณ นั่นเอง ไม่อยากที่จะให้ได้ เราได้รับทุกข์ ยากลำบาก แต่ประการใด ตัวอุปกรณ์ ทีนี้ปัญหาในเรื่องมุสาตัวนี้ พวกเราทำความเข้าใจกันให้ดีว่า ไม่ใช่เราจะทำกันได้ง่ายๆ นอกจากอุปกรณ์ 4 แล้ว ตัวปโยคะของมุสานี่ มีถึง 3 ตัว คือ หมายความถึง การเพียรที่จะมุสาตัวนี้ อุปกรณ์ในความเพียรตัวนี้
ตัวที่ 1 เรียกว่า สาหัตถิกะปะโยคะ เรียกว่า กล่าวด้วยตัวของตัวเองนั่นแหละ ก็เป็นมุสาได้ เห็นไหม คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจตัวนี้ และสังเกตดู ในปัจจุบันนี้ นักการเมือง นักการค้าทั้งหลาย มุสา หรือไม่ มุสา พิจารณาดูตัวเราเอง นอกจากที่จะทำด้วยตัวของตัวเองแล้ว
อีกตัวหนึ่ง จดจำไว้ คือ อาณัตติกะปะโยคะ หมายถึง ให้ผู้อื่นเป็นผู้กล่าว เห็นไหม ไม่ต้องทำเอง เราก็มุสาได้ สังเกตดูให้ดี สังเกตดูให้ดี บางแห่งเขาแนะนำสั่งสอน ให้ไปแจกจ่ายในทางที่ผิด ๆ แล้วก็เอาไปแจกเช่นนั้น เป็นตัวอะไร คิดเอาเอง ฉะนั้นพวกเรา ถ้าจะมุสาก็มุสาให้ครบ เราจะได้ประโยชน์ มันเกิดขึ้น ให้จงได้
นอกจาก การกล่าวเอง และให้ผู้อื่นกล่าวแล้ว ยังอีกตัวหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งผมเอง ผมก็ข้องใจเหมือนกัน ที่ข้องใจนั่นเพราะเหตุไร ถ้าเราดูในสมัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ สั่งสอนนั้น ไม่ได้เขียนเป็น ลายลักษณ์อักษรเลย แม้แต่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานไปแล้ว ผู้ที่ทำพระไตรปิฎกนี่ ก็ไม่ได้เขียนเป็นตัวหนังสือ เพียงแต่จดจำมาทั้ง 500 องค์ เห็นไหม สมัยนั้นหนังสือยังไม่มี แต่ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ทำอย่างนี้ ถ้าคนเราสมัยนั้น ขณะที่เราเกิดมา อ้าย 2000 กว่าร้อยปีมาแล้ว ฟังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสองค์ประกอบตัวนี้ เขาบอก คงจะหาว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกหก เห็นไหม พระองค์ตรัสไว้ยังไง
ตัวนี้ ตัว ถาวะระปะโยคะ หมายถึงว่า การกล่าวโดยลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เห็นไหม ขณะนั้นยังไม่มี ทำไมพระองค์รู้ล่วงหน้ามาล่ะ ว่าป่านนี้มันมี แล้วเขาก็แสดงกันจริงหรือไม่จริงง่ะ ก็พิจารณาดูซินี่ เป็นตัวเจตนา ที่คิดจะมุสา ตัวนี้ ต้องเจตนาอีก 3 ตัว ประกอบลงไปได้ มันถึงจะมีผล ฉะนั้นพิจารณาให้ดี แล้วเราก็จะได้มีความเข้าใจกัน เมื่อเราทำครบองค์ องค์ประกอบทั้ง 4 องค์ และอุปกรณ์ทั้ง 3 แล้ว เราก็คงจะได้รับผล อย่างไม่มีปัญหา อ้ายรับผลนั้น เราไม่สนใจ เราเอากันในขณะนี้นี่แหละ ปวัตติกาลนี่แหละหรือต่อไป เพราะเราอย่าไปเชื่อ ว่านรกมีจริง หรือสวรรค์มีจริงเช่นนั้น นี่ เพราะคนทั้งหลายเขาไม่เชื่อ ถ้าเราไปเชื่อ เราก็งมงาย เราเป็นหัวดำๆ นี่ ผู้ที่โกนหัว ห่มผ้าเหลือง เขาบางทีเขายังไม่เชื่อกันเลย เอ้า แล้วถ้าเรา มีความเข้าใจ ในคำว่า " มุสา " ตัวนี้แล้ว เราป้องกัน ตัวของเราเสีย เราก็คงจะไม่ได้รับผลเช่นนั้น เพราะผู้ที่มานั่งกันอยู่ในที่นี้ ยังไม่มีคุณสมบัติตัวนี้ มาให้กับผม
คุณสมบัติ ที่จะได้รับตัวนี้ นั่นอะไร คือ พูดไม่ชัด พูดไม่ชัด ตัวนี้เป็นตัวผลที่จะได้รับ ในปวัตติกาล มีหรือไม่มี ไม่รู้ อ้ายผมพูดละ อ้ายผมพูดโจ๋งครึ่มไปเลย พูดมันดังๆ แต่ที่ผมพูดมานี่ พวกคุณฟัง อาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้ ตัวนี้ การพูดไม่ชัด เราจะสังเกตเห็น คนบางคน ทำไมพูดอะไร พูดไม่รู้เรื่อง พูดไม่ชัด อะไร นี่ เพราะในอดีตเขาทำอะไรมา เขาอาจจะตกนรกมาแล้ว แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ รับต่อไปอีก ตัวนี้
ตัวที่ 2 อ้ายผมนี่ ถอนออกไป หมดแล้ว พวกเรา มีหรือเปล่า ไม่รู้ เพราะผมไม่มี มีแต่แปรง ตัวนี้ คือตัวที่ 2 ฟันไม่มีระเบียบ เห็นไหม อ้ายที่ อ้ายฟันโขยกเข้ามั่ง ออกมั่ง ซ้อนกันมั่ง อะไรกันมั่ง คือแทนที่จะมาใช้เคี้ยว อะไร เคี้ยวไม่ได้ นี่ เป็นอย่างนี้ แต่อ้ายผมขณะนี้ไม่มีหรอก เพราะเหตุไร ถอนไปหมดแล้ว ถอนไปนมนานแล้ว นี่ มันเป็นอย่างงี้ นอกจากพูดไม่ชัด ฟันไม่มีระเบียบแล้ว
อีกตัวหนึ่ง ผมไม่รู้นะ เพราะว่าใครๆ เขาพูด เขาพูดห่างผม เขาไม่ได้มาพูดใกล้ๆ จมูกผม เขาเรียกว่า ปากเหม็นมาก ง่ะ ไม่รู้นะ ใครจะเหม็นไม่เหม็น ผมไม่รู้ ถ้าเราสังเกตดูให้ดีแล้ว คนบางคนนี่ พอติ่นนอนขึ้นมางี้ เหม็นหึ่งเลย ทำไมมันเป็นเช่นนั้น แต่คนบางคน ทำไม ไม่เป็นเช่นนั้น ถ้าจะมาพูดกัน หลักทางแพทย์ ก็คงจะเป็นอ้ายเรื่อง อ้ายกระเพาะอาหารอะไรมันจะสกปรกละมั้ง แต่ถ้ามัน มองให้ลึกถึงธรรมะ ถ้าเราไม่ทำเช่นนี้ มันจะออกมา อย่างงี้เหรอ ฉะนั้นเวลานี้ เขาถึงได้มี อะไรล่ะ อ้าย อ้ายเม็ดๆ อะไรให้อมเอิมอะไรกันน่ะ นั่นแหละ เขาป้องกันการมุสาละ ป้องกันการปากเหม็นน่ะ เอ้า ว่ากันตรงๆ อย่างงี้ นอกจากนี้แล้ว
อีกตัวหนึ่ง คุณสมบัติ อีกตัวหนึ่ง ไอตัวร้อน ไอตัวร้อน คนบางคน สังเกตดูเหอะ อ้ายไอตัวนี่ ร้อนอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ ไม่ได้เป็นอะไรเลยเช่นนี้
นี่ เป็นผลในปวัตติกาล แม้แต่เขาจะตกนรก ได้รับมาเช่นนั้นแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็จะได้รับเช่นนั้นต่อไปอีก แต่ถ้าเขาทำต่อไป เขาก็จะได้รับต่อไปอีก ไม่มีปัญหา ทั้งนี้เพราะเหตุอะไร ผมนี่พยายามจ้ำจี้จ้ำไชพวกเรา ได้ซิ้อสติ พยายามประกาศขายสติ ก็ไม่มีใครจะซื้อ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะกำลังจะนิพพาน จึงได้เตือนเอาไว้ อย่าตั้งอยู่ในความประมาทนะ หมายถึง ให้มีสตินั่นเอง แต่พวกเราจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ก็แล้วแต่ ถ้าเชื่อ มันก็สร้างให้มันเกิดขึ้นอีกตัวหนึ่ง ได้แก่ คุณสมบัติที่จะได้รับ ก็ได้แก่ กล่าววาจาด้วยปลายลิ้นและปลายปาก อ้ายตัวนี้ผมไม่รู้ เพราะส่วนมากไม่เคยพบ แต่ได้ยินทางเสียงวิทยุ มันออกเช่นนั้น เราฟังดูแล้ว เอ๊ะ ทำไมเขาพูดอย่างนี้ นี่ กล่าวพูดอะไร ก็พูดด้วยปลายปากปลายลิ้นเท่านั้น พูดไม่ชัดนั่นเอง
คุณสมบัติตัวที่ 6 อีกประการหนึ่ง ก็ได้แก่ ตาไม่อยู่ในระดับปกติ ตาไม่อยู่ในระดับปกติ ไม่ใช่ไม่แลเห็นนะ เห็นเหมือนกัน เขาเรียกว่า ตาเหลน่ะ ตาเหล หรือตาเหล่ อะไรไม่รู้ เห็นไหม นี่ มันเป็นเช่นนี้ สมบัติที่เราจะได้รับในความมุสา ผลมันออกมาเช่นนี้ แล้วจริงหรือไม่จริงผมไม่รู้นะ แต่ผมเห็นคนตาเหล่ แต่เขาจะทำจริง หรือไม่จริงไม่รู้ ไม่รู้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าไว้อย่างงี้นี่ ผมเป็นคนงมงายหน่อย ก็ว่าตามพระองค์ท่าน ให้พวกเราได้รู้ เพื่อให้งมงายกันต่อไป นอกจากนี้
คุณสมบัติ อีกตัวหนึ่ง นั่นได้แก่ ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย เราจะสังเกตดู คนบางคนเขามีความสง่าผ่าเผย บางคนทำไม ไม่มีความสง่าผ่าเผย นั่นเพราะอะไร ทำไมคนเหมือนกัน ทำไมไม่เหมือนกัน เรื่องนี้เราได้เคยพูดกันมาแล้ว การที่คนเหมือนกัน เป็นคนไม่หมือนกัน เพราะเราสั่งสมอบรมมาไม่เหมือนกัน ผลมันถึงได้ออกมาต่างกัน ไม่ว่าความดีหรือความชั่ว เราจงฝึกหัดทำความเข้าใจ กันแต่ละขั้น แต่ละตอน แล้วเราก็จะรู้ได้ว่า อะไรมันควรจะเป็นอะไร นอกจากนี้แล้ว
คุณสมบัติ ตัวที่ 8 ในเรื่องความมุสานั้น ตัวนี้ผมเองก็เสียใจ ซึ่งในพวกเราบางคนได้เกิดขึ้น แต่ไม่ได้อยู่ในที่นี้ในขณะนี้ นั่นอะไร ได้แก่อะไร ได้แก่อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมอศรีธรรมนี่ ควรจะรู้ มีจิตคล้ายวิกลจริต น่ะจ๊ะ เพราะในอดีตเรามีแต่มุสา มุสาให้เขาหลงผิด ฉะนั้นสภาวะคุณสมบัติ ตัวที่ 8 เอาไหมเอา ถ้าเอาก็สร้างให้มันครบองค์ แล้วผลมันก็ย่อมบังเกิดขึ้น
นี่ เป็นความหมาย ของคำว่า " มุสา " เราจะต้องทำยังไง มันถึงจะครบองค์ เมื่อครบแล้ว ในปวัตติกาล เราจะได้รับผลอย่างไร ฉะนั้นโดยอย่างยิ่งพวกเราที่เป็นหมอนั้นน่ะ ถ้ามีความเข้าใจ ในเรื่องธรรมะแล้ว เราก็จะรู้เหตุ ปัจจัย ที่มันบังเกิดโรคนั้นๆ ได้ว่า ม้นเป็นมา เพราะอะไร นั่นเอง ความหมาย ของคำว่า " มุสา " เราได้พูดกันมาแล้ว ทำความเข้าใจกันมาแล้ว สรุปแล้วมันก็จากปากของเรานั่นเอง ก็บอกแล้ว ว่าปากของเรามีอยู่ปากเดียว ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ตรัสแยกปากของเรา ออกเป็นหลายปาก เช่นนี้
ปากตัวที่ 2 ได้แก่ ปิสุณาวาท หมายถึง การส่อเสียด การส่อเสียด การส่อเสียดนี่ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้ว บังเอิญพวกเราส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ฉะนั้นไม่มีโอกาสจะบวชเป็นพระได้แน่ๆ และพวกเราที่เป็นผู้ชาย ที่มีโอกาสจะบวชเป็นภิกษุ ก็มีกันอยู่น้อย ฉะนั้นคงจะไม่ทำตัวนี้ให้เกิดขึ้น อย่างมากมายมหาศาล ตัวปิสุณาวาทนี้ ได้แก่อะไร การส่อเสียด ความหมายการส่อเสียดให้เขาเกิดการแตกแยกกัน ถ้าพวกเรา เป็นโกนหัว ไปห่มผ้าเหลือง เอาตัวนี้ อะไรจะเกิดขึ้น แทนที่เราจะได้รับผลน้อยๆ เราก็จะได้รับผลกันอย่างมากมายมหาศาล ตัวนั้นตัว อนันตริยกรรม นั่นเอง ถ้าทำสงฆ์ให้แตกแยกกัน เพราะความหมายของการว่า ทำสงฆ์ให้แตกแยกกันนั้น ไม่ใช่พวกเราหัวดำๆ ถ้าพวกเราหัวดำๆ ไปพูดเช่นนั้น มันก็เป็นปิสุณวาท หมายความว่า การส่อเสียดปกติ ไม่ใช่อนันตริยกรรม ผู้ที่จะทำอนันตริยกรรมตัวนี้ได้ มีตัวเดียวเท่านั้น คือผู้โกนหัวห่มผ้าเหลือง เรียกว่า ภิกษุนั่นเอง ที่จะทำสร้างตัวนี้ ให้เกิดขึ้นได้ ถ้าสร้างให้เกิดขึ้นได้แล้ว ก็คงจะได้ไปพบกันกับพระญาติ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเรียกกันว่า เทวทัต นั่นยังไงล่ะ คือตัวอเวจีมหานรกนั่นเอง และในปัจจุบันนี้ ถ้าพวกเราเข้าถึงธรรมแล้ว แม้แต่ผู้ที่โกนหัวห่มผ้าเหลืองก็อยู่ในอเวจีเช่นเดียวกัน นี่ ทำความเข้าใจให้ดี การที่เราจะตักเตือน พวกเรานี้ ตัวปิสุณาวาทนี้ เราเอากันเพียงตื้นๆ เพื่อทำยังไง เราถึงจะไม่ต้องมารับ ผลวิบากอันมากมายนัก
องค์ประกอบ ในการที่เขาส่อเสียด ให้เขาแตกแยกกันนี้
องค์ประกอบ ตัวที่ 1 ได้แก่ ภินทิตัพโพ หมายความว่า มีหมู่คณะที่พึงจะแตกกัน หมายความว่า ถ้าเป็นกลุ่มพวกเรา ถ้าคนใดคนหนึ่งยุยงส่งเสริมให้เขาแตกแยกกัน นี่ก็แตกหมู่แตกคณะ หรือจะเป็นกลุ่มนักการเมือง อะไรก็แล้วแต่ สังเกตดูซิ ยิ่งขณะนี้ละก็ ฟังวิทยุเหอะ นั่นแหละ เขากำลังสร้างปิสุณาวาทให้เกิดขึ้น ตัวนี้จะต้องมีหมู่คณะที่จะพึงทำให้แตก แต่ถ้าเรามี กันไม่มีพรรคพวกพื่อนฝูง โต้กันไปตอบกันมา อ้ายนั่นมันเรื่องทะเลาะกัน มันคนละเรื่อง คนละเรื่อง คนละตัว นอกจากคุณสมบัติตัวที่ 1 ที่ว่าต้องมีหมู่คณะ ที่จะพึงทำให้แตกแยกกันนั้น
ตัวที่ 2 ได้แก่ เภทะปุเรกขาโร หมายความว่า ปรารถนาที่จะให้เขาแตกกัน ตัวปรารถนาตัวนี้ ตัวอะไร บอกแล้ว เจตนา ใจของเราใช่ไหม ถ้าเราตัดหัวใจออก เราก็คงจะต้องไม่ต้องรับบาปกรรมเช่นนี้ เห็นไหม บอกแล้ว ว่าเราจะทำดีหรือทำชั่ว อยู่ที่ใจของตัวเอง ฉะนั้นคนบางคนบอกว่า ฉันนี่ทำดีนะ แต่ความจริงอะไรล่ะ ใจมันเป็นชั่ว ชั่วอะไร โลภะก็มี โมหะก็มี แล้วมันจะดีได้อย่างไร คิดเอาเอง ไม่ว่าความดี หรือความชั่ว จะต้องมีองค์ประกอบทั้งหมด แม้แต่ปิสุณาวาท การส่อเสียดนี้ ก็ต้องมีเจตนา เช่นเดียวกัน ฉะนั้น นอกจากมีหมู่คณะ ที่จะพึงให้เขาแตกกันแล้ว ปรารถนา ที่จะให้เขาแตกหรือเจตนา ต้องมีอีกตัวหนึ่ง นอกจากนี้
ตัวที่ 3 องค์ประกอบจะให้ครบองค์ ก็คือ ปะโยโค หมายถึง เพียรพยายามที่จะให้แตกกัน ถ้าเราจะพูดอะไรไป เราไม่รู้ เราพูดออกไป โดยไม่มีเจตนาเช่นนี้ ถ้าเราพูดอะไรไป เราไม่รู้ เราพูดออกไป โดยไม่มีเจตนาเช่นนี้ แล้วเขาเกิดไปแตกแยกกัน ไม่เกี่ยวข้องกะเรานะ ไม่เกี่ยวข้อง เพราะเราไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เช่น เราพูดกับพวกของเรา บอกว่า นายก. เขาด่านายข. เราได้ยินเข้า อ้ายนายก. นายข. นี่เขานั่น ก็เราไม่รู้เขายืนอยู่ แล้วเราก็ ไม่รู้จักตัวเขา นี่ อ้ายเราพูดกับพวกเราเช่นนี้ ไม่เกี่ยวข้องนะ ไม่ได้เกี่ยวข้อง ที่เขายุยงให้แตกแยกกันนะ คนละเรื่อง ฉะนั้น เราจะต้อง ทำความเข้าใจให้ดี นอกจาก มีหมู่คณะพึงให้แตกแยกกัน ตัวหนึ่ง เจตนา หรือปรารถนาจะให้เขาแตกแยกกัน ตัวหนึ่ง และเพียรพยายามที่จะให้เขาแตกแยกกัน ตัวหนึ่งแล้ว
อีกตัวหนึ่ง คือ ตะทัตถะวิชานะนัง หมายความว่า หมู่คณะนั้นปักใจเชื่อเราด้วย เชื่อเราด้วย ตัวนี้เราทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเราสร้างคุณงามความดี ด้วยตัวของเราเองเท่านั้น แต่เราจะปากพูดมันก็ได้ หรือถ้าปากไม่พูด จะทำเป็นใบ้ อย่างผมก็ได้ ชี้ให้คนนั้น แล้วชี้ให้คนนี้ ชี้คนนั้น ชี้คนนี้ แล้วก็ยังงี้ๆ นี่ เป็นการแสดงกิริยาออกมา เช่นนี้ ตัวนี้ หมายถึง กิริยาด้วยการบุ้ยใบ้นี่ โดยไม่ต้องพูดนั้น มันก็เป็น กายปโยคะ ตัวนี้ เป็นตัวครบเหมือนกัน ถ้าเขามีความเชื่อเช่นนั้น แต่ถ้าเขามองตรงกันข้าม บอกว่า อ้ายผมนี่มันกำลังบ้า ช่วยนำเอาไปส่งปากคลองสานที มันก็ไม่เกี่ยวข้อง มันก็คนละตัว นี่ เพราะผมอยู่ๆ นี่ พูดๆ แล้วก็ เอ๊ะ ทำไม ทำมือทำไม้เช่นนั้นให้เขาแตกกัน เช่นนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เราทำเช่นนี้แล้ว ตัวนี้ไม่ได้เกี่ยวนะ เมื่อกี้บอกแล้วนี่ว่า ถ้าพวกเราไปโกนหัวห่มผ้าเหลืองเข้า อ้ายตัวนี้รุนแรงนะ บอกให้ แรงนะ แต่บังเอิญพวกเราไม่ได้บวช ฉะนั้นไม่บวช เอาแต่เบาๆ หน่อยหนึ่ง แน่ ที่เบาๆ ที่จะได้รับในปวัตติกาลนั้น ตัวปิสุณาวาทตัวนี้มีนิดเดียวเท่านั้น คือมี 4 ประการเท่านั้น ไม่เกี่ยวนรก ไม่เกี่ยวอะไรทั้งหมด ปวัตติกาลนี้ ในชาตินี้ก็ได้ ในชาติต่อไปก็ได้ คือ
1 พูดอะไร ทำอะไร ก็กลายเป็นตำหนิตัวของตัวเอง นั่นเอง แต่โดยไม่รู้สึกตัว สังเกตดูให้ดี คนบางคนพูดร้อยแปด แต่ไม่รู้หรอก ว่าเป็นการตำหนิตัวของตัวเอง ซึ่งในพวกเรานี้ บางคนทำเช่นนั้น นี่ ไม่ได้รู้ตัวของตัวเองเลย คิดว่าฉันพูดเก่ง แต่คนที่เขาฟังเข้าแล้ว เขารู้เรื่อง เอ๊ะ มันทำลายตัวของตัวเองนี่ นี่ เพราะเหตุไร เพราะในอดีตชาติ เขาทำตัวนี้ ให้มันเกิดขึ้น แต่มันบังเอิญ ที่ไม่ได้โกนหัวห่มผ้าเหลือง ถ้าโกนหัวห่มผ้าเหลือง เราก็คงจะไม่ได้มาพบปะเจอะเจอกันเช่นนี้ นอกจากนี้แล้ว ถ้าพวกเราสังเกต ฟังเสียงวิทยุก็ดี ดูหนังสือพิมพ์ก็ดี เกี่ยวกับนักการเมืองน่ะ อะไรมันเกิดขึ้น คุณสมบัติที่เขาจะได้รับ จากปิสุณาวาท ตัวนี้
ตัวนี้ 2 ก็คือ มักจะถูกลือโดยไม่เป็นความจริง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เห็นไหม มันเกิดขึ้นหรือเปล่า ในปัจจุบันนี้ พิจารณาดู แม้แต่คน ๆ นั้น เขาไม่ได้ทำอะไร ทำชั่วอะไรเลย ก็ถูกเล่าลือต่างๆ นานา ซึ่งเขาไม่รู้ไม่เห็นเลย นั่นเป็นวิบากรรม ที่เขาสร้างขึ้นมาไว้แล้ว แต่ในอดีตนั่นเอง
อีกตัวหนึ่ง คุณสมบัติอีกตัวหนึ่ง ที่จะได้รับ ตัวนี้ผมไม่รู้ แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้เช่นนี้ ว่าผลในปวัตติกาลของปิสุณาวาท จะได้รับเช่นนั้น นั่นก็คือ ถูกบัณฑิตติเตียน นั่นได้แก่ ผู้ที่มี ความรู้ ความเข้าใจ ในการประพฤติปฏิบัติธรรม เข้าถึงธรรมแล้ว บัณฑิตในที่นี้ อย่างลืมนะได้แก่อะไร ถ้าเป็นภิกษุ เราเรียกว่าสงฆ์ ความหมายของสงฆ์นั้น ก็คือผู้ที่บวช ได้ก้าวไปถึงแล้ว อริยบุคคล แต่ถ้าเป็นหัวดำๆ นี้ เราก็เรียกว่าบัณฑิต คือผู้ที่ก้าวเข้าไปถึงอริยบุคคลนั้น ฉะนั้นพวกเราจงทำความเข้าใจกันเสีย อริยบุคคลนั้นน่ะ เป็นภิกษุก็ได้ เป็นฆราวาสก็ได้ เป็นผู้หญิงก็ได้ เป็นผู้ชายก็ได้ มันเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุไร ผู้ที่ก้าวเข้าถึงอริยบุคคล เป็นภิกษุประการเดียว มีอันเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์เท่านั้น เป็นฆราวาสไม่ได้ แต่นอกกะ ต่ำกว่า พระอรหันต์ ไม่ว่า โสดาก็ดี สกินาคา ก็ดี อนาคาก็มี เป็นฆราวาสได้นะ เป็นได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่ไม่ถึงกะบวช แต่ถ้าผู้ที่จะก้าวเข้าถึงอริยบุคคล ในขั้นอรหันต์ได้ ถ้าเป็นมนุษย์นะ ต้องเป็นภิกษุ แต่ถ้าไม่ใช่มนุษย์ นั่นเขาเป็นได้ พวกนั้น เขาอยู่ในรูปพรหม คือ นิพพานในรูปพรหมนั่นเอง นั่นอีกพวกหนึ่ง ฉะนั้นจงทำความเข้าใจกันเสียให้ดี ในที่นี้ ความหมายของคำว่า " บัณฑิต " นั่นน่ะ บัณฑิตไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ นะ ไม่ใชว่า บัณฑิตว่า ฉันสอบได้แล้ว ฉันได้บัณฑิต ไม่ใช่ บัณฑิตในโลก กะบัณฑิตทางธรรมคนละตัว นอกจากคุณสมบัติที่เราจะได้รับตัวแรก คือ ตำหนิตัวของตัวเองโดยไม่รู้ตัวของเราแล้ว และมักจะถูกเล่าลือ โดยไม่เป็นความจริง เป็นตัวที่สองแล้ว ตัวที่3 จะถูกบัณฑิตติเตียน นั่นเป็นตัวที่ 3 แต่ถ้าพวกเราจะสร้างปิสุณาวาทนี้ ไม่ต้องกลัว เพราะว่าบัณฑิตไม่มีในพวกเรานี้นะ
ตัวที่ 4 น่ะ ผมไม่รู้นะ แต่ผมไม่มี นั่นก็คือ การแตกมิตรสหาย การแตกมิตรสหาย สังเกตดูให้ดี คนเราบางคนมีเพื่อนฝูง มีมิตรสหาย แต่ทำไมผลสุดท้ายแตกแยกกันไปได้ ถ้าเราไม่สร้างตัวปิสุณาวาทตัวนี้ ให้เกิดขึ้นในอดีตแล้ว มันจะเป็นผลเช่นนั้นละหรือ
ฉะนั้น จงทำความเข้าใจกันให้ดี ตั้งแต่ ความชั่วทางกาย 3 ประการ ที่เราพูดกันมาแล้ว และทางวาจาอีก 2 ตัวนี้ ฉะนั้น ถ้าเราทำความเข้าใจกันให้ดีแล้ว เราก็คงจะไม่สร้างความชั่ว ให้เกิดขึ้นแก่เราได้อีกต่อไปนอกจากนี้แล้ว อยากจะตักเตือนพวกเรา อีกตัวหนึ่ง คือ ตัวปากของเรานั่นเอง ปากของเรามีอันเดียว เราพูดกันมาแล้ว ทั้ง 2 ตัว มุสา และ ปิสุณาวาท อีกตัวหนึ่ง ตัวนี้คือ ผรุสวาทะ นั่นก็คือ การกล่าวคำหยาบ นั่นเอง การกล่าวคำหยาบในที่นี้ ฟังดูให้ดีนะ ถ้าพวกเราไม่เข้าใจแล้ว จะเห็นว่า คนทุกคน กล่าวคำหยาบ แต่ความจริงไม่ใช่ อย่างเราเป็นเพื่อนรัก เพื่อนเกลอกัน พอเจอะหน้าค่าตากัน บอก เฮ้ย ไปไหนมาวะ อย่างนี้ ถ้าคนไม่เข้าใจก็หาว่าเป็นการกล่าวคำหยาบ แต่บางคนเจอะเจอกัน ไม่ได้กล่าวคำหยาบ แต่ทำผิดก็มี ฉะนั้นการกล่าวคำหยาบในที่นี้ มันจะต้องมีองค์ประกอบ ไม่ใช่พวกเราที่พูดกันอย่างนี้ ที่ว่าองค์ประกอบนั้น มีอะไร ถ้าพวกเราพูดไปแล้ว ก็คงจะทำความเข้าใจกันต่อไปได้
องค์ประกอบตัวที่ 1 เรียกว่า อักโกสิตัพโพ หมายความว่า มีผู้อื่นพึงจะด่า อ้ายคำว่า " ด่า " ในที่นี้ ทำอย่างไง ถึงจะทำให้เขา มีความเจ็บช้ำน้ำใจ นี่ อย่างนี้ เพราะว่า ถ้าเราจะไปฆ่าเขานี่ กลัวติดตะราง เอาด่าเขานี่ คงจะไม่ติดหรอก นี่ ต้องมีผู้อื่นพึงจะด่านะ ไม่ใช่ว่า ไม่มีบุคคล แล้วก็เรามาพูดกัน อะไรกัน คนละเรื่อง มันคนละตัว ไม่เกี่ยว ฉะนั้น การที่ผรุสวาทนี้ เราจะต้องทำความเข้าใจกันให้ดี มีผู้อื่นพึงจะทำการให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจน่ะ จะทำอย่างไง นี่ เราอาจจะพูดอย่างดีที่สุด แต่เขาเจ็บช้ำน้ำใจตัวนี้ ก็เป็นผรุสวาทเหมือนกัน อย่าลืมนะ ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่เสียง ที่มันออกมาอย่างเดียวเท่านั้น นี่ เป้าหมายมันต้องมี
ตัวที่ 2 เรียกว่า กุปะจิตตะ หมายความว่า มีจิตโกรธเคือง นั่นอะไร ตัวนี้เป็นอกุศลมูลจิต ตัวโทสะมันเกิดขึ้น ไม่ใช่เราไปเจอะหน้าเพื่อนฝูงกัน เออ เฮ้ย ไปไหนมาวะ อ้าย อ้าย เปือก อ้ายโจร อะไร ไม่ใช่ คนละเรื่อง มันต้องมีเจตนา ตัวโทสมูลจิตมันต้องเกิดขึ้นอีก ตัวนี้มันถึงจะเป็นการหล่าวคำหยาบได้
และอีกตัวหนึ่ง ตัวที่ 3 ได้แก่ อักโกสะนา หมายถึง การกล่าวคำหยาบ หรือ การกล่าวบริภาษ ให้เขามีความเจ็บช้ำน้ำใจ
นั่น ตัวนี้แหละ ครบ 3 องค์นี่แหละ ถึงเรียกว่า เป็นการกล่าวคำหยาบลงไปได้ และนอกจากนั้นแล้ว ที่เราสร้างผรุสวาทะให้เกิดขึ้นเช่นนี้ ผลดีมันก็จะเกิดขึ้นแก่ตัวของเราเอง แต่พวกเรานี้ ไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น ผลดีที่จะเกิดขึ้นนั้นอะไร คือ วิบากที่จะได้รับ ในปวัตติกาล ในชาตินี้ก็ได้ หรือในชาติต่อไปก็ได้ ไม่เกี่ยวกับ การตกนรกหมกไหม้ ตัวนี้เป็นตัววิบาก ที่จะได้รับ มีอยู่ 4 ประการ
ตัวที่ 1 พินาศ พินาศในทรัพย์ พินาศในทรัพย์ สังเกตดู สังเกตดูให้ดี บางคนมีเงินมากมายมหาศาล ทำไมฉิบหายวายวอดไปหมด ตัวของตัวทำเอง ไม่ใช่คนอื่นเขาทำ บางที บางคนมีเงินเป็นล้าน ๆ เอาไปเล่นการพนันเสีย แพลบเดียวหมดไปแล้ว ถ้าเราระลึกดูให้ดี ถ้าเราไม่ได้ทำ ตัวผรุสวาทะ ให้เกิดขึ้นในอดีตแล้ว มันจะเป็นเช่นนั้นเหรอ นี่ เป็นคุณสมบัติตัวที่ 1 ที่เราจะได้รับ
คุณสมบัติตัวที่ 2 นั้น ได้แก่อะไร ได้แก่ ได้ยินในสิ่งที่เกิดความไม่พอใจ นี่ มีคนบางคน แม้แต่เราจะพูดด้วยความหวังดี ด้วยเจตนเขา จ้ำจี้จ้ำไชเขา ให้เขาเข้าถึงธรรมะ แล้วผลสุดท้าย เขาก็เผ่นไป เผ่นออกไปได้ อย่างไรอะไร เขาได้ยินแต่เสียง ที่เขาไม่มีความพอใจแต่ประการใด นี่ ถ้าในอดีตชาติ ถ้าเขาไม่ได้สร้างกรรมตัวนี้ ให้เกิดขึ้นแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้หรือ พิจารณาตัวเราเอง ถ้าพวกเราจะสนใจจะสร้างตัวนี้ให้เกิดขึ้น ก็สร้างให้มันครบองค์เถอะ เราจะได้มีคุณธรรมอันสมควร
อีกตัวหนึ่ง คุณสมบัติ ที่จะได้รับ ถ้าเราพิจารณาตัวของเราเองแล้ว สังเกตดูให้ดี คนบางคนทำไม มีความสวยสดงดงาม มีความละเอียดอ่อน ในทางกายและวาจา แต่บางคนทำไม มีความหยาบคายทั้งกายและวาจา มันจะเกิดขึ้น ผลจากในอดีต ที่เขาได้ทำผรุสวาทะ อันนี้ให้เกิดขึ้น ฉะนั้นวิบากในปวัตติกาล มันจะต้องเกิดขึ้นเช่นนี้ ฉะนั้นจงสังเกตดูให้ดี ที่บอกว่า คนเราเหมือนกัน ไม่เหมือนกันนั้น มันผิดแผกแตกต่างกัน นี่ แม้แต่ คนอยู่ในระดับขั้นต่ำ ระดับกรรมกร มันก็ผิดแผกแตกต่างกัน สังเกตดูให้ดีเหอะ นี่ ถ้าเราเข้าใจในเรื่อง ตัวกรรมแต่ละตัวแล้ว เราก็คงจะไม่ทำ ความชั่วของเรา ให้เกิดขึ้น
สมบัติอีกตัวหนึ่ง ตัวที่ 4 ตัวสุดท้าย นั่นได้แก่อะไร แต่พวกเรานี้ ยังไม่ได้รับ ถ้าเขาจะตาย ก็ ตายด้วยอาการงงงวย ตัวนั้นจุติจิต คืออะไร อุเบกขาสันตีรณะในอกุศล นั่นเอง แล้วผลจะเกิดขึ้นมาเป็นยังไง เพราะพวกเราส่วนใหญ่กลัวตาย จึงไม่ยอมแนะนำให้ ในจุติจิตทั้ง 19 แต่วันนี้ จะกลัวหรือไม่กลัว ก็บอกไว้คร่าวๆนะ
จุติจิต 19 ดวงนั้น
อุเบกขาสันตีรณะ มี 2 ดวง
ดวงหนึ่ง เป็นอกุศล ลงในทุคติภูมิ 4
อีกตัวหนึ่ง เป็นกุศล ตกอยู่ในสุคติภูมิ แต่ง่อยเปลี้ยเสียขา ทุพพลภาพอีก 8 ตัว มหากุศลวิบากจิต ตั้งแต่ตัวที่ 1 ถึง ตัวที่ 8 ถ้าเราเกิดพวกเรา ที่นั่งอยู่ในนี้ ถ้าไม่มีมหากุศลจิต ดวงใดดวงหนึ่ง คงไม่มีสภาพเช่นนี้ 8 ดวง รวมข้างบนเป็น 10 ดวง
อีกตัวหนึ่ง เรียกว่า มหัคคตจิต 9 ได้แก่ รูปฌาน 5 และ อรูปฌาน 4 ถ้าเขาตาย จุติจิตตัวนี้ นั่นอย่างน้อย เขาก็ก้าวเข้าถึง รูปพรหมหรืออรูปพรหม
นี่ เป็นความชั่ว ที่ได้ตักเตือนพวกเรามานี้ ฉะนั้นก็เป็นอันว่า สมควรแก่เวลา จึงขอยุติกันเพียงแค่นี้.