จักกวัตติสูตร

เรื่อง พระเจ้าจักพรรดิทัฬหเนมิ

         ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
         สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เมืองมาตุลาในแคว้นมคธ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นที่เกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่ง อื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็นที่
พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเป็นอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเป็นเวทนาใน เวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน
พระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็น
ที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน มารจักไม่ได้โอกาส จักไม่ได้อารมณ์ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บุญนี้ ย่อมเจริญขึ้นอย่างนี้เพราะ เหตุที่ถือมั่นธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศล

ว่าด้วยแก้ว ๗ ประการ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพระราชาจักรพรรดิ์พระนามว่า ทัฬหเนมิ ผู้ทรงธรรม ทรงเป็นพระราชา โดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ
แก้ว ๗ ประการมีดังนี้ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้วเป็นที่ ๗ พระราชโอรสของ พระองค์ มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมสม่ำ
เสมอ มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศาสตรา ครอบครองแผ่นดิน มีสาครเป็นขอบเขต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นโดยล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี ท้าวเธอเรียกราชบุรุษคนหนึ่งมารับสั่งว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ในขณะที่ท่านเห็นจักรแก้วอันเป็นทิพย์
ถอยเคลื่อนจากที่ พึงบอกแก่เราทันที ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นทูลสนองพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยล่วงไป อีกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี บุรุษนั้นได้เห็นจักรแก้วอันเป็นทิพย์ถอยเคลื่อนจากที่ จึงเข้าไปเฝ้าท้าวเธอ
ถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะพระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์พึงทรงทราบ จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพระองค์ถอยเคลื่อน จากที่แล้ว

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอตรัสเรียกพระกุมารซึ่งเป็นพระโอรสใหญ่มารับสั่งว่า ดูก่อนพ่อกุมาร ได้ยินว่า จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพ่อถอยเคลื่อนออกจากที่แล้ว ก็พ่อได้ฟังมาดังนี้ว่า จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพระเจ้าจักรพรรดิ์องค์ใด ถอยเคลื่อนออกจากที่ พระเจ้าจักรพรรดิ์พระองค์นั้น พึงทรงพระชนม์อยู่ได้ไม่นาน ในบัดนี้ ก็กามทั้งหลายอันเป็นของมนุษย์พ่อ ได้เสวยแล้ว บัดนี้เป็นสมัยที่พ่อจะแสวงหากามทั้งหลายอันเป็นทิพย์ มาเถิดพ่อกุมาร พ่อจงปกครองแผ่นดิน อันมีสมุทรเป็น ขอบเขตนี้ ฝ่ายพ่อจักปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอทรงสั่งสอนพระกุมารซึ่งเป็นโอรสองค์ใหญ่ในราชสมบัติเรียบร้อยแล้ว ทรงปลง พระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้าย้อมน้ำฝาดเสด็จออกจากเรือน ทรงผนวชเป็นบรรพชิตแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อพระ ราชฤาษีทรงผนวชได้ ๗ วัน จักรแก้วอันเป็นทิพย์ อันตรธานไปแล้ว

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น ราชบุรุษคนหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกแล้ว ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะ พระพุทธเจ้าข้า พระองค์พึงทรงทราบเถิด จักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว ท้าวเธอได้ ทรงเสียพระทัยและทรงเสวยความโทมนัส ท้าวเธอเสด็จเข้าไปหาพระราชฤาษีถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะ
พระพุทธเจ้าข้า พระองค์พึงทราบว่า จักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวเธอกราบทูลอย่างนี้
แล้ว พระราชฤาษีจึงตรัสกะท้าวเธอว่า ดูก่อนพ่อ พ่ออย่าเสียใจและอย่าเสวยความโทมนัสไปเลย ในเมื่อจักรแก้วอันเป็นทิพย์
อันตรธานหายไปแล้ว ด้วยว่า จักรแก้วอันเป็นทิพย์ หาใช่สมบัติสืบมาจากบิดาของพ่อไม่ ดูก่อนพ่อ เชิญพ่อประพฤติใน จักกวัตติวัตรอันประเสริฐเถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้แล เมื่อพ่อประพฤติในจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ ครั้นถึงวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ จักรแก้วอันเป็นทิพย์ซึ่งมีกำพันหนึ่ง มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง จักปรากฏมีแก่พ่อผู้สนานพระเศียร แล้วรักษา อุโบสถอยู่ ณ ประสาทอันประเสริฐชั้นบน ท้าวเธอถามว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็จักกวัตติวัตรอันประเสริฐนั้น เป็นไฉน ราชฤาษีตอบ ว่า ดูก่อนพ่อ ถ้าเช่นนั้น พ่อจงอาศัยธรรมเท่านั้น สักการะธรรม ทำความเคารพธรรม นับถือธรรม บูชาธรรม ยำเกรงธรรม มีธรรมเป็นธงชัย มีธรรมเป็นยอด มีธรรมเป็นใหญ่ จงจัดการรักษาป้องกันและคุ้มครองอันเป็นธรรม ในชนภายใน ในหมู่พล ในหมู่กษัตริย์ผู้ได้รับราชาภิเษก ในหมู่กษัตริย์ประเทศราช ในพวกพราหมณ์และคฤหบดี ในชาวนิคมและชาวชนบททั้งหลาย ในพวกสมณพราหมณ์ ในเหล่าเนื้อและนก ดูก่อนพ่อ การกระทำในสิ่งที่เป็นอธรรม อย่าเป็นไปในแคว้นของลูก อนึ่ง บุคคลเหล่า ใดในแว่นแคว้นของพ่อ ไม่มีทรัพย์ พ่อพึงให้ทรัพย์แก่บุคคลเหล่านั้นด้วย อนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใด ในแว่นแคว้นของลูก งดเว้นจากความเมาและความประมาท ตั้งมั่นอยู่ในขันติและโสรัจจะ ฝึกตนแต่ผู้เดียว สงบตนแต่ผู้เดียวให้ตนดับกิเลสอยู่แต่ ผู้เดียว พึงเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้น โดยกาลอันสมควรแล้วไต่ถามแล้วสอบถามว่า ท่านขอรับ กุศลคืออะไร
อกุศลคืออะไร กรรมมีโทษ คืออะไร กรรมไม่มีโทษคืออะไร กรรมอะไรควรเสพ กรรมอะไรไม่ควรเสพ กรรมอะไรอันข้าพเจ้า กระทำอยู่พึงเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน หรือว่ากรรมอะไรที่ข้าพเจ้ากระทำอยู่ พึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน พ่อได้ฟังคำของสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สิ่งใดเป็นอกุศล พึงละเว้นสิ่งนั้นเสีย สิ่งใดที่เป็นกุศลพึง ถือมั่นสิ่งนั้นประพฤติ ดูก่อนพ่อ นี้แล คือจักกวัตติวัตรอันประเสริฐนั้น

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท้าวเธอสนองพระดำรัสพระราชาฤาษีแล้ว ทรงประพฤติจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ เมื่อท้าวเธอ ทรงประพฤติจักกวัตติวัตรอันประเสริฐอยู่ เมื่อถึงวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ จักรแก้วอันเป็นทิพย์ซึ่งมีกำพันหนึ่ง มีกง มีดุม บริบูรณ์
ด้วยอาการทุกอย่าง ปรากฏมีแก่ท้าวเธอผู้สนานพระเศียร ทรงรักษาอุโบสถอยู่ ณ ปราสาทอันประเสริฐชั้นบน ท้าวเธอทอดพระ เนตรเห็นแล้ว มีพระดำริว่า ก็เราได้สดับมาว่า จักรแก้ว อันเป็นทิพย์ซึ่งมีกำพันหนึ่ง มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง ปรากฏมีแก่พระราชาผู้เป็นกษัตริย์พระองค์ใด ผู้ได้มูรธาภิเษก สนานพระเศียร ทรงรักษาอุโบสถ ณ ปราสาทอันประเสริฐชั้น บนในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ พระราชาพระองค์นั้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์หรือหนอ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอเสด็จลุกจากพระที่แล้วทรงทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงพระอังสาข้างหนึ่ง จับพระเต้า ด้วยพระหัตถ์ซ้าย ทรงประคองจักรแก้วด้วยพระหัตถ์ขวา แล้วตรัสว่า ขอจักรแก้วอันประเสริฐ จงหมุนไปทั่วโลกเถิด ขอจักร
แก้วอันประเสริฐ จงชนะโลกทั้งปวงเถิด

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น จักรแก้วนั้น ก็หมุนไปทางบูรพา พระเจ้าจักรพรรดิ์พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา ก็เสด็จติด ตามไป พระเจ้าจักรพรรดิ์พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา ได้ไปประทับอยู่ ณ ประเทศที่จักรแก้วประดิษฐานอยู่

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายพระราชาอริราชที่อยู่ ณ ทิศบูรพาพากันเสด็จเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ์ได้กราบทูลอย่าง
นี้ว่าขอเชิญเสด็จมาเถิด มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว ราชอาณาจักรเหล่านี้เป็นของพระองค์ทั้งสิ้น ขอพระองค์จงทรง ปกครองเถิด มหาราชเจ้า ท้าวเธอจึงตรัสอย่างนี้ว่า พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ไม่พึงประพฤติ ผิดในกามทั้งหลาย ไม่พึงกล่าวคำเท็จ ไม่พึงดื่มน้ำเมา จงเสวยสมบัติตามเดิมเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกพระราชาอริราช ที่อยู่ ณ ทิศบูรพา ได้พากันตามเสด็จท้าวเธอไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น จักรแก้วนั้น ก็ลงไปสู่สมุทรด้านทิศบูรพา แล้ว โผล่ขึ้นไปลงที่สมุทรด้านทิศทักษิณ แล้วโผล่ขึ้นไปสู่ทิศปัจฉิม ท้าวเธอพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาก็เสด็จติดตามไป ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย จักรแก้ว ประดิษฐานอยู่ ณ ประเทศใด ท้าวเธอก็เสด็จเข้าไปพักอยู่ ณ ประเทศนั้น พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายพระราชอริราช อยู่ ณ ทิศปัจฉิมก็พากันเสด็จเข้าไปเฝ้าท้าวเธอ ได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอ เชิญเสด็จมาเถิด มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว มหาราชเจ้า อาณาจักรเหล่านี้เป็นของพระองค์ทั้งสิ้น มหาราชเจ้า ขอพระองค์ทรงปกครองเถิด ท้าวเธอตรัสอย่างนี้ว่า พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ไม่พึงประพฤติ ผิดในกามทั้งหลาย ไม่พึงกล่าวคำเท็จ ไม่พึงดื่มน้ำเมา จงเสวยสมบัติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกพระราชาอริราช ที่อยู่ ณ ทิศ ปัจฉิมได้พากันตามเสด็จท้าวเธอไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นจักรแก้วนั้น ก็ลงสู่สมุทรด้านทิศปัจฉิมแล้วโผล่ขึ้นสู่ทิศอุดร พระเจ้าจักรพรรดิ์ พร้อมด้วยจตุรงคินืเสนาก็เสด็จติดตามไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักรแก้ว ประดิษฐานอยู่ ณ ประเทศใดท้าว เธอพร้อมด้วยจาตุรงคินีเสนา ก็เสด็จเข้าพักอยู่ ณ ประเทศนั้น

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายพระราชาอริราช ที่อยู่ ณ ทิศอุดรก็พากันเสด็จเข้าไปเฝ้าท้าวเธอ ได้กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอ เชิญเสด็จมาเถิด มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว มหาราชเจ้า อาณาจักรเหล่านี้เป็นของพระองค์ทั้งสิ้น มหาราชเจ้า ขอ พระองค์ทรงปกครองเถิด ท้าวเธอจึงตรัสอย่างนี้ว่า พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ไม่พึงประพฤติ ผิดในกามทั้งหลาย ไม่พึงกล่าวคำเท็จ ไม่พึงดื่มน้ำเมา จงเสวยสมบัติตามเดิมเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกพระราชาอริราช ที่อยู่ ณ ทิศอุดร ได้พากันตามเสด็จท้าวเธอไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น จักรแก้วนั้นได้ชนะวิเศษยิ่งซึ่งแผ่นดินมีสมุทร เป็นขอบเขตได้แล้ว จึงกลับคืนสู่ราชธานีนั้น ได้หยุดอยู่ที่ประตูพระราชวังของท้าวเธอ ปรากฏเหมือนเครื่องประดับ ณ มุข สำหรับทำเรื่องราว สว่างไสวอยู่ทั่วภายในพระราชวังของท้าวเธอ

ว่าด้วยจักรแก้วทิพย์ถอยเคลื่อนออกจากที่

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าจักรพรรดิ์องค์ที่ ๒ ก็ดี องค์ที่ ๓ ก็ดี องค์ที่ ๔ ก็ดี องค์ที่ ๕ ก็ดี องค์ที่ ๖ ก็ดี องค์ที่ ๗
ก็ดี โดยกาลล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี ได้ตรัสเรียกบุรุษคนหนึ่งมารับสั่งว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ในขณะที่ท่านเห็น จักรแก้วอันเป็นทิพย์ ถอยเคลื่อนออกจากที่ พึงบอกแก่เราทันที

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นทูลสนองพระราชดำรัสของท้าวเธอแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยล่วงไปอีกหลายปี หลาย ร้อยปี หลายพันปี บุรุษนั้นได้แลเห็นจักรแก้วอันเป็นทิพย์ถอยเคลื่อนออกจากที่ จึงเข้าไปเฝ้าท้าวเธอถึงที่ประทับ แล้วได้กราบ ทูลว่า ขอเดชะ พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์พึงทรงทราบ จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพระองค์ถอยเคลื่อนออกจากที่แล้ว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอตรัสเรียกพระกุมารซึ่งเป็นโอรสองค์ใหญ่มารับสั่งว่า ดูก่อนพ่อกุมารได้ยินว่า จักรแก้วอันเป็น ทิพย์ของพ่อถอยเคลื่อนออกจากที่แล้ว นั่นเป็นความสุขของพ่อ ก็พ่อได้สดับมาดังนี้ว่า จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพระเจ้า จักรพรรดิ์พระองค์ใด ถอยเคลื่อนออกจากที่ พระเจ้าจักรพรรดิ์พระองค์นั้นพึงทรงพระชนม์อยู่ได้ไม่นาน ในบัดนี้ ก็กามทั้งหลาย อันเป็นของมนุษย์ พ่อได้เสวยแล้ว บัดนี้เป็นสมัยที่พ่อจะแสวงหากามทั้งหลายอันเป็นทิพย์ มาเถิดพ่อกุมาร ลูกจงปกครอง แผ่นดินอันมีสมุทรเป็นขอบเขตนี้ ฝ่ายพ่อจักปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอทรงสั่งสอนพระกุมารซึ่งเป็นโอรสองค์ใหญ่ในราชสมบัติเรียบร้อยแล้ว ทรงปลง พระเกศาและพระ
มัสสุ ทรงครองผ้าย้อมน้ำฝาดเสด็จออกจากเรือน ทรงผนวชเป็นบรรพชิตแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อพระราชฤาษีทรง
ผนวชได้ ๗ วัน จักรแก้วอันเป็นทิพย์ อันตรธานไปแล้ว

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกแล้วถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะ พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบเถิด จักรแก้วอันเป็นทิพย์ อันตรธานไปแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอเมื่อจักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว ได้ทรงเสียพระทัย และได้ทรงเสวยความโทมนัส แต่ไม่ได้ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระราชฤาษี ทูลถามถึงจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ นัยว่า ท้าวเธอปกครองประชาราษฎร์ตามพระมติของพระ องค์เอง เมื่อท้าวเธอทรงปกครองประชาราษฎร์ตามพระมติของพระองค์เองอยู่ ประชาราษฎร์ก็ไม่เจริญต่อไป เหมือนเก่าก่อน เหมือนเมื่อกษัตริย์พระองค์ก่อนๆซึ่งได้ทรงประพฤติในจักกวัตติวัตรอันประเสริฐอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น คณะอำมาตย์ ข้าราชบริพารโหราจารย์และมหาอำมาตย์ นายกองช้าง นายกองม้า เป็นต้น คนรักษาประตู และคนเลี้ยงชีพด้วยปัญญา ได้ ประชุมกันกราบทูลท้าวเธอว่า พระพุทธเจ้าข้า ได้ยินว่า เมื่อพระองค์ทรงปกครองประชาราษฎร์ตามพระมติของพระองค์เอง ประชาราษฎร์ไม่เจริญเหมือนเก่าก่อน เหมือนเมื่อกษัตริย์พระองค์ก่อนๆ ซึ่งได้ทรงประพฤติในจักกวัตติวัตรอันประเสริฐอยู่ พระพุทธเจ้าข้า ในแว่นแคว้นของพระองค์มีอำมาตย์ข้าราชบริพาร โหราจารย์ และมหาอำมาตย์ นายกองช้าง นายกองม้า เป็นต้น คนรักษาประตู และคนเลี้ยงชีพด้วยปัญญาอยู่พร้อมทีเดียว ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายด้วย และประชาราษฎร์เหล่าอื่นด้วย ทรงจำจักกวัตติวัตรอันประเสริฐได้อยู่ ขอเชิญพระองค์โปรดตรัสถามถึงจักกวัตติวัตรอัน ประเสริฐเถิด พวกข้าพระพุทธเจ้า อันพระองค์ตรัสถามแล้ว จักกราบทูลแก้จักกวัตติวัตรอันประเสริฐถวายพระองค์

ว่าด้วยอทินนาทาน

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอโปรดให้ประชุมอำมาตย์ราชบริพารโหราจารย์และมหาอำมาตย์ นายกองช้าง นายกองม้า เป็นต้น คนรักษาประตู และคนเลี้ยงชีพด้วยปัญญา แล้วตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ เขาเหล่านั้น อันท้าว เธอตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐแล้ว จึงกราบทูลแก้ถวายท้าวเธอ ท้าวเธอได้ฟังคำทูลแก้ของพวกเขาแล้ว จึงทรงจัดการ รักษาป้องกันและคุ้มครองอันชอบธรรม แต่ไม่ได้พระราชทานทรัพย์แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ เมื่อไม่พระราชทานทรัพย์แก่คนที่ไม่มี
ทรัพย์ ความขัดสนจึงได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย บุรุษคนหนึ่งจึงขโมยทรัพย์ของคนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว แสดงแก่ท้าวเธอว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษคนนี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมยเอาทัรพย์ของคนอื่นไปจริง หรือ บุรุษนั้นทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า ท้าวเธอถามว่า เพราะเหตุไร บุรุษทูลว่า เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย์ให้แก่เขาแล้วรับสั่งว่า พ่อบุรุษเธอจงเลี้ยงชีพ จงเลี้ยง มารดาบิดา จงเลี้ยงบุตรภรรยา จงประกอบการงานทั้งหลาย จงตั้งทักษิณาที่มีผลในเบื้องบน อันเกื้อกูลแก่สวรรค์ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ด้วยทรัพย์นี้เถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เขาได้สนองพระราชดำรัสท้าวเธอแล้ว

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้บุรุษอีกคนหนึ่ง ก็ได้โขมยทรัพย์ของคนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดงแก่ท้าว เธอว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษคนนี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอ
จึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ บุรุษนั้นทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า ท้าวเธอถามว่า เพราะเหตุไร บุรุษทูลว่า เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย์ให้แก่เขาแล้วรับสั่งว่า พ่อบุรุษเธอจงเลี้ยงชีพ จงเลี้ยง มารดาบิดา จงเลี้ยงบุตรภรรยา จงประกอบการงานทั้งหลาย จงตั้งทักษิณาที่มีผลในเบื้องบน อันเกื้อกูลแก่สวรรค์ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ด้วยทรัพย์นี้เถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เขาได้สนองพระราชดำรัสท้าวเธอแล้ว

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังมาว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า คนขโมยทรัพย์ของคนพวกอื่นไป พระเจ้าแผ่นดิน ยังทรงพระราชทานทรัพย์ให้อีก พวกเขาได้ยินมา จึงพากันคิดเห็นอย่างนี้ว่า อย่ากระนั้นเลย แม้พวกเรา ก็ควร ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นบ้าง

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดงแก่ท้าว เธอว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษคนนี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอ
จึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมยเอาทัรพย์ของคนอื่นไปจริง หรือ บุรุษนั้นทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า ท้าวเธอถามว่า เพราะเหตุไร บุรุษทูลว่า เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอนจึง ทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ถ้าเรา จักให้ทรัพย์แก่คนที่ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นเสมอไป อทินนทานนี้จักเจริญทวีขึ้นด้วยประการ อย่างนี้ อย่ากระนั้นเลย เราจะให้คุมตัวบุรุษผู้นี้ให้แข็งแรง จะทำาการตัดต้นตอ ตัดศรีษะของบุรุษนั้นเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอ ตรัสสั่งบังคับพระราชบุรุษทั้งหลายว่า แน่ะ พนาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเอาเชือกเหนียวๆ มัดบุรุษนี้ ให้มือไพล่ หลังให้แน่น เอามีดโกน โกนศีรษะโล้น แล้วพาตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว ออกทางประตูด้านทักษิณ จงคุมตัวให้แข็งแรงทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้นเสียนอกพระนครทิศทักษิณ ราชบุรุษทั้งหลายรับพระราชดำรัสท้าวเธอแล้ว จึงเอาเชือกเหนียวมัดบุรุษนั้นให้มือไพล่หลังให้แน่น เอามีดโกนๆ ศีรษะให้โล้น แล้วพาตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยกลอง พิฆาตเสียงกร้าว ออกทางประตูด้านทักษิณ คุมตัวให้แข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้น นอกพระนคร ทิศทักษิณแล้ว

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า พระเจ้าแผ่นดิน ได้คุมตัวบุคคลผู้ ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นอย่างแข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะพวกเขาเสีย ครั้นได้ฟังมา พวกเขาจึงมีความคิดเห็นอย่าง นี้ว่า อย่ากระนั้นเลย แม้พวกเราควรให้ช่างทำศัสตราอย่างคมๆ ครั้นแล้วจะคุมตัวคนที่เราจับขโมยได้ให้แข็งแรง จักทำกการตัด ต้นตอ ตัดศีรษะพวกมันเสีย พวกเขาจึงให้ช่างทำศัสตราอย่างคมๆ ครั้นแล้วจึงเริ่มทำการปล้นบ้านบ้าง ปล้นนิคมบ้าง ปล้นพระ นครบ้าง ปล้นตามถนนหนทางบ้าง คุมตัวพวกที่ขโมยไว้อย่างแข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุคคลเหล่านั้นเสีย

ว่าด้วยปาณาติบาตทำให้อายุเสื่อม

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานได้ ถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย มุสาวาทก็ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้น
ก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุแปดหมื่นปี ก็มีอายุถอยลง เหลือสี่หมื่นปี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุสี่หมื่นปี บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป
เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึง แสดงแก่พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกว่า พระพุทธเจ้าข้า บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์
ของคนอื่นไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษนั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่าเธอ
ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป จริงหรือ บุรุษนั้นได้กราบทูลคำเท็จทั้งที่รู้อยู่ว่าไม่จริงเลย พระพุทธเจ้าข้า

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณามานี้ เมื่อพระมหากษตริย์ ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนได้ถึงความแพร่หลาย อทินนทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึง
ความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ถึงความแพร่หลาย เมื่อปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย มุสาวาท
ก็ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขา
เสื่อมถอยอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุสี่หมื่นปี ก็มี อายุสองหมื่นปี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อ
มนุษย์มีอายุสองหมื่นปี บุรุษคนหนึ่งขโมยทรัพย์ของคนอื่นไป บุรุษอีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลแก่พระราชาผู้เป็นกษตริย์ ซึ่งได้
มูรธาภิเษกได้กระทำการ ส่อเสียดว่า พระพุทธเจ้าข้าบุรุษชื่อนี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณามานี้ เมื่อพระมหากษตริย์ ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย ฯลฯ ปิสุณาวาจาก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อปิสุณา
วาจา ถึงความแพร่หลาย แม้อายุสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยอายุบ้าง เสื่อมถอยจาก
วรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุสองหมื่นปี ก็มีอายุถอยลงเหลือหนึ่งหมื่นปี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุหนึ่งหมื่น ปี สัตว์บางพวกมีวรรณะดี สัตว์บางพวกมีวรรณะไม่ดี ก็เพ่งเล็งสัตว์พวกที่มีวรรณดี ถึงความประพฤติล่วงในภรรยาของคนอื่น

ว่าด้วยอกุศลกรรมทำให้อายุเสื่อม

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณามานี้ เมื่อพระมหากษตริย์ ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสน ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนทรัพย์ถึงความแพร่หลาย อทินนาทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานถึงความ แพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย แม้อายุสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุหนึ่งหมื่นปี ก็มีอายุถอยลงเหลือห้าพันปี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุห้าพันปี ธรรม ๒ ประการ คือ ผรุสวาจาและสัมผัปลาปะ ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการ ถึงความแพร่หลาย แม้อายุสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุห้าพันปี ก็มีอายุถอยลงเหลือสองพันห้าร้อยปี บางพวกมีอายุถอยลงสองพันปี

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุสองพันปี อภิชฌาและพยาบาท ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออภิชฌาและ พยาบาทถึงความแพร่หลาย แม้อายุสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อม
ถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุสองพันห้าร้อยปี ก็มีอายุถอยลงเหลือหนึ่งพันปี

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุหนึ่งพันปี มิจฉาทิฏฐิก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฏฐิถึงความแพร่หลาย
แม้อายุสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของ
มนุษย์ที่มีอายุหนึ่งพันปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕00 ปี

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๕00 ปี ธรรม ๓ ประการคือ อธรรมราคะ ( ความกำหนัดในฐานะอันไม่สมควร เป็นต้น
ว่า มารดา๑ น้า ๑ บิดา ๒ อาหญิง ๑ ป้า ๑ )
วิสมโลภ ( ความโลภที่รุนแรงในฐานะแม้ที่ควรบริโภค ) มิจฉาธรรม ( ความกำหนัดด้วยอำนาจความ
พอใจระหว่าง ชายกับชาย หญิงกับหญิง )
ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้น ก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๕00 ปี บางพวกมีอายุถอยลง ๒๕0 ปี บางพวกมีอายุถอยลง ๒00 ปี

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๒๕0 ปี ธรรมเหล่านี้คือ ความไม่ปฏิบัติชอบในมารดา ความไม่ปฏิบัติชอบ ในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ก็ได้ถึงความแพร่หลาย

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังพรรณามานี้ เมื่อพระมหากษัตริย์ ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่คนที่ไม่มีทรัพย์ ความขัดสนก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อความขัดสนถึงความแพร่หลาย อทินนทานก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่ออทินนาทานได้ ถึงความแพร่หลาย ศัสตราก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อศัสตราถึงความแพร่หลาย ปาณาติบาตก็ถึงความแพร่หลาย เมื่อ
ปาณาติบาตถึงความแพร่หลาย มุสาวาทก็ถึงความแพร่หลาย เมื่อมุสาวาทถึงความแพร่หลาย ปิสุณาวาทก็ถึงความแพร่หลาย
เมื่อปิสุณาวาทถึงความแพร่หลาย กาเมสุมิจฉาจารก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อกาเมสุมิจฉาจารถึงความแพร่หลาย ธรรม ๒ ประการ คือ ผรุสวาจาและสัมผัปปลาปะก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๒ ประการถึงความแพร่หลาย อภิชฌาและพยาบาท
ก็ได้ถึงความแพร่หลาย มิจฉาทิฏฐิก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อมิจฉาทิฏฐิถึงความแพร่หลาย ธรรม ๓ ประการ คือ อธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรม ๓ ประการถึงความแพร่หลาย ธรรมเหล่านี้คือ ความไม่ปฏิบัติชอบใน มารดา ความไม่ปฏิบัติชอบในบิดา ความไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ ความไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ความไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ในตระกูล ก็ได้ถึงความแพร่หลาย เมื่อธรรมเหล่านี้ถึงความแพร่หลาย แม้อายุของสัตว์เหล่านั้น ก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็เสื่อม
ถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้างเสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๒๕0 ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๑00 ปี

ว่าด้วยความเสื่อมของกุศล อกุศล

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้ มีบุตร อายุ ๑0 ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสม ควรมีสามีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี หญ้ากับแก้ จักเป็นอาหารอย่างดี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้าวสาลี
เนื้อ ข้าวสุก จักเป็นอาหารอย่างดี ในบัดนี้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี หญ้ากับแก้ ก็จักเป็นอาหาร
อย่างดี ฉันนั้นเหมือนกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี กุศลกรรมบถ ๑0 จักอันตรธานหายไปหมดสิ้น
อกุศลกรรมบถ ๑0 จักเจริญรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคน ทำกุศลจักมีแต่ที่ไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติชอบ
ในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้น
จักได้รับการบูชา และได้รับการสรรเสริญ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้นจักได้รับการบูชาและได้รับการสรรเสริญฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี เขาจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา บิดา สมณพราหมณ์ ไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อ
ท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้น จักได้รับการบูชาและได้รับการสรรเสริญฉันนั้นเหมือนกัน ในบัดนี้

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี เขาจักไม่คิดเคารพยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยา ของอาจารย์ หรือว่านี่คือภรรยาของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือนแพะ ไก่ สุกร สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความ พยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า อย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับบุตรก็ดี บุตร กับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จัดเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากัน อย่างแรงกล้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายพรานเนื้อเห็นเนื้อเข้า เกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า อย่างแรงกล้า ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี สัตว์เหล่านั้นจักมีความอาฆาต...ความคิดจะฆ่าอย่างแรง
กล้าในกันและกัน ฉันนั้นเหมือนกัน

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑0 ปี จักมีสัตถันตรกัป สิ้น ๗ วัน มนุษย์เหล่านั้นจักสำคัญกันและกันว่าเป็น เนื้อ ศัสตราทั้งหลายอันคม จักปรากฏมีในมือของพวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคมนั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ
( มิคสัญญี ) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นสัตว์เหล่านั้น บางพวกมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่าฆ่า
เรา อย่ากระนั้นเลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้า สุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร เลี้ยงชีวิตอยู่ซัก ๗ วัน เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร เลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด ๗ วัน เขาพากันออกจากสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน จักขับร้องปลอบใจ กันในที่ประชุมว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือๆ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรทำกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร พวกเราควรงดเว้นจาก อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้นจากผรุสวาจา ควรงดเว้นจาก
สัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา ควรละพยาบาท ควรละมิจฉาทิฏฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คือ อธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉา
ธรรม อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบในสมณะ ควรปฏิบัติชอบใน
พราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ควรสมาทานกุศลนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทานกุศล ธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อ เขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของคนผู้มีอายุ ๒0 ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔0 ปี บุตรของคนผู้มี
อายุ ๔0 ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘0 ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘0 ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖0 ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๑๖0 ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒0 ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒0 ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔0 ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔0 ปี จักมีอายุ
เจริญขึ้นถึงสองพันปี บุตรของคนผู้มีอายุสองพันปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึงสี่พันปี บุตรของคนผู้มีอายุสี่พันปี จักมีอายุเจริญ
ขึ้นถึงแปดพันปี บุตรของคนผู้มีอายุแปดพันปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึงสองหมื่นปี บุตรของคนผู้มีอายุสองหมื่นปี จักมีอายุเจริญ
ขึ้นถึงสี่หมื่นปี บุตรของคนผู้มีอายุสี่หมื่นปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึงแปดหมื่นปี

ว่าด้วยการงดเว้นอกุศลกรรมบถ ๑0 อายุยืน

         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี เด็กหญิงที่มีอายุ ๕00 ปี จึงจักควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี จักมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑ ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี ชมพูทวีปนี้ จักมั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งอเวจีนรก จักยัดเยียดไปด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่า
ไม้แก่น ฉะนั้น

         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี เมืองพาราณสีนี้ จักเป็นราชธานีมีนามว่าเกตุมดี เป็นเมืองที่มีมั่งคั่ง
และรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คนคับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี ในชมพูทวีปนี้ จักมีเมืองแปดหมื่นสี่พันเมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข

         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น
ณ เมือง เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะ
แล้ว มีราชอาณาจักรมั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คหบดีแก้ว ปริณายกแก้วเป็นที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์สามารถย่ำยีเสนาของ
ข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศัตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต

         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นใน
โลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงความพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึก
บุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือน
ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกบัดนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระ
ธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้ พร้อมเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วย
พระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้วสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ
พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงพระผู้มีพระภาค
เจ้าพระนาม ว่าพระเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์ หลายพัน เหมือนตถาคต บริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัด
นี้ ฉันนั้น

         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะ จักทรงให้ยกขึ้น ซึ่งปราสาทที่พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แลัวจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลายจักทรงปลงพระเกศา
และพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรงผนวชเป็นบรรพชิตในสำนักของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้า พระนามว่าเมตไตรย์ ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียวไม่ประมาท มีความเพียรมีตน
ส่งไปแล้ว ไม่ช้านัก ก็จักทรงทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดย
ชอบ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ในทิฏฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่

ว่าด้วยการพึ่งตนพึ่งธรรม

          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่เกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรม
เป็นสรณะ อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่งไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็น
ที่เกาะ มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่ อย่างไรเล่า

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเป็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่
อย่างนี้แล

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอ
ทั้งหลายเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน จักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง จักเจริญด้วยสุข บ้าง จักเจริญด้วยโภคะบ้าง จักเจริญด้วยพละบ้าง

          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องอายุของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เจริญอิทธิ บาทประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิริยสมาธิ...จิตตสมาธิ...วิมังสาสมาธิปธานสังขาร เธอนั้น เพราะเจริญอิทธิบาท ๔ เหล่านี้ เพราะกระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้ เมื่อปรารถนาก็พึงตั้งอยู่ได้ถึงกัป ๑ หรือเกินกว่า
กัป ๑ นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องอายุของภิกษุ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องวรรณะภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ ในสิกขาบท ทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นอธิบายเรื่องวรรณะของภิกษุ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องของสุขของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจาก กาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต
ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้มีอุเบกขา
มีสติ มีสัมปปชัญญะ เสวยสุขด้วยกายเพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มี อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้ สติบริสุทธิ์อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายเรื่องสุขของภิกษุ

ว่าด้วยธรรมที่ทำให้อายุเป็นต้นเจริญ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องโภคะ (ได้แก่พรหมวิหาร)ของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระ
ธรรมวินัยนี้ มีจิตประกอบ ด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ อยู่ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้อง
บน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิตอันประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความ
เบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน มีจิตประกอบด้วยกรุณา...มุทิตา...อุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ อยู่ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็ เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิตประกอบด้วยอุเบกขาอัน
ไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หา ประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็น อธิบายในเรื่องโภคะของภิกษุ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องพละของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ทำให้แจ้ง เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในทิฏฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นอธิบายในเรื่องพละของภิกษุ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นแม้กำลังสักอย่างหนึ่งอื่น อันข่มได้แสนยาก เหมือนกำลังของมารนี้เลย ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย บุญนี้จะเจริญขึ้นได้อย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นกุศลธรรมทั้งหลาย

         พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นยินดีชื่นชม พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ดังนี้แล

จบจักกวัตติสูตร