โศกนาฏกรรมชาวยิวในประเทศเยอรมนี
Holocaust เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลก โดยประชากรชาวยิว ที่อาศัยอยู่ในยุโรปประมาณ 6 ล้านคนได้เสียชีวิตหรือสูญหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งหมดนี้เป็นแผนการทำลายล้างของพรรคนาซีในประเทศเยอรมันนี นำโดย "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" โดยใช้ชื่อรหัสของปฏิบัติการครั้งนี้ว่า "การแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้าย" (Final Solution)
ขบวนการล้างชาติพันธุ์ของพรรคนาซี
มีสาเหตุมาจากการแบ่งแยกเชื้อชาติระหว่างพวกชนชาติเชื้อสายอารยันและพวกที่
ไม่มีเชื่อสายอารยันโดยมุ่งเป้าหมายหลักไปยังชาวยิวที่อยู่อาศัยในทวีปยุโรป
การทำลายล้างชนชาติยิวเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อพรรคนาซีได้ขึ้นนำ
ประเทศเยอรมันโดยมีฮิตเลอร์ขึ้นปกครองประเทศโดยชอบธรรมตามกฎหมายในปีค.ศ.
1933
ฮิตเลอร์ได้โยนความผิดและปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในเยอรมันในเวลานั้นว่าเป็นความ
ผิดของชาวยิว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ เหตุการณ์ไฟไหม้
การที่เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และปัญหาต่างๆอีกร้อยพันประการ
......
"อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ - จากเด็กหนุ่มกำพร้าสู่ผู้นำเผด็จการ และต้นเหตุความเกลียดชังชาวยิวที่ฝังรากลึก"
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เกิดที่ Gasthof zum Pommer เมื่อวันที่ 20 เมาษายน ปี 1889 เป็นลูกคนที่สี่จากทั้งหมดหกคน และเกิดจากภรรยาคนที่สามของพ่อของเขา
ชีวิตในช่วงวัยเด็กของฮิตเลอร์นั้นแตกต่างจากชีวิตของเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง เขาต้องทนอยู่กับพ่อที่ชอบใช้ความรุนแรง ทุบตี และทำร้ายเขา รวมทั้งทำร้ายแม่บังเกิดเกล้าของเขาด้วย และเมื่อเวลาผ่านไป ฮิตเลอร์ก็เริ่มเฉยชากับการกระทำที่โหดร้ายของพ่อ เขาให้คำมั่นสัญญากับตนเองว่าจะเลิกทำตัวอ่อนแอ และเลิกร้องไห้ยามได้ที่โดนทุบตี นี่คือประโยคที่ฮิตเลอร์เคยพูดกับเลขาของเขา
"I then resolved never again to cry when my father whipped me. A few days later I had the opportunity of putting my will
to the test. My mother, frightened, took refuge in front of the door.
As for me, I counted silently the blows of the stick which lashed my
rear end".
.......................และภาพแห่งความรุนแรงในวัยเด็กนี้เอง คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฮิตเลอร์ กร้าวแข็งกับความทารุณ และเฉยชาต่อความเจ็บปวด จนมันได้เริ่มฝังอยู่ในความคิดของเขาแล้ว
ครอบครัวของฮิตเลอร์ต้องระหกระเหินย้ายถิ่นฐานอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ชีวิตของเขาไม่เคยมีหลักปักฐานที่แน่นอน จนกระทั่งในปี 1907 แม่ของเขาได้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเค้านม ด้วยวัย 47 ปี เขาได้แบ่งทรัพย์สมบัติกับน้องสาวร่วมมารดาของเขา "พอลล่า" และทำงานเป็นจิตรกรในเวียนนา
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ฮิตเลอร์เป็นคนหัวรั้นและมักมีปัญหากับการอยู่ร่วมกับคนอื่น เขาจึงถูกไล่ออกจากโรงเรียนฝึกสอนศิลปะถึงสองครั้ง ในครั้งแรกเขายังได้รับโอกาสในการแก้ตัว แต่ครั้งที่สองนี่เอง ที่ทำให้ฮิตเลอร์ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว จนต้องไปอาศัยอยู่ในค่ายพักของคนจรจัด และทำงานใช้แรงงานหาเลี้ยงชีพที่Meldemannstraße ในปี 1910
และในช่วงเวลานั้นเอง ฮิตเลอร์ในเข้าร่วมกลุ่มต่อต้านชาวยิว anti-Semite ในเวียนนาซึ่งในขณะนั้นเต็มไปด้วยผู้คนชาวยิวที่หนีรอดมาจากการสังหารหมู่ในรัสเซีย และนี่อาจถือเป็นจุดเริ่มของความรู้สึกเกลียดชังและเหยียดเชื้อชาติที่มีต่อชาวยิวของฮิตเลอร์ บางหลักฐานบอกว่าฮิตเลอร์อาจได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากงานเขียนต่างๆที่มีแนวคิดต่อต้านชาวยิว จากสมาชิกในกลุ่ม anti-Semite เอง รวมไปถึงบุคคลรอบข้างมากมาย ที่ยิ่งเป็นตัวผลักดันและปลูกฝังให้เขามีความคิดต่อต้านชาวยิวมากยิ่งขึ้น โดยฮิตเลอร์ได้บรรยายไว้ในงานเขียนของเขา Mein Kampf ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง Linz ประเทศออสเตรีย ว่า
"There were very few Jews in Linz. In the course of centuries the Jews who lived there had become Europeanized
in external appearance and were so much like other human beings that I
even looked upon them as Germans. The reason why I did not then
perceive the absurdity of such an illusion was that the only external
mark which I recognized as distinguishing them from us was the practice
of their strange religion. As I thought that they were persecuted on
account of their faith my aversion to hearing remarks against them grew
almost into a feeling of abhorrence. I did not in the least suspect
that there could be such a thing as a systematic antisemitism. Once,
when passing through the inner City, I suddenly encountered a
phenomenon in a long caftan and wearing black side-locks. My first
thought was: Is this a Jew? They certainly did not have this appearance
in Linz. I carefully watched the man stealthily and cautiously but the
longer I gazed at the strange countenance and examined it feature by
feature, the more the question shaped itself in my brain: Is this a
German?"
กระทั่งในปี 1914 ประเทศเยอรมันนีได้เข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะนั้นฮิตเลอร์ในสมัครเข้าทำงานให้กับกองทัพ Bavarian โดยทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารขณะทำการรบ ซึ่งนับว่าเป็นงานที่เสี่ยงมาก เพราะต้องทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและอาจถูกยิงโดนฝ่ายตรงข้ามได้ง่ายๆ แต่ฮิตเลอร์ก็รอดมาได้ และได้รับเหรียญเกียรตยศ ถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกในปี 1914 และครั้งที่สองในปี 1918 และด้วยความที่เป็นคนมุ่งมั่นในการทำงาน ฮิตเลอร์มีผลงานมากมาย แต่เขาก็ไม่เคยได้รับการเลื่อนขั้น สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการที่เขายังไม่มีภาวะการเป็นผู้นำที่ดีพอ แต่นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่า เหตุผลน่าจะมาจากการที่เขาไม่ได้เป็นชาวเยอรมันนีเต็มตัวเสียมากกว่า
และเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ปี 1918 นี้เอง ฮิตเลอร์ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างกระทันหัน เนื่องจากเขามีอาการตาบอดชั่วคราวจากการได้รับแก้สพิษ ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่า ช่วงเวลาขณะที่เขาตาบอดนี้เอง ฮิตเลอร์ได้เริ่มตัดสินใจแน่วแน่ และตั้งมั่นกับตนเองว่า เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาประเทศเยอรมันนีเอาไว้ นับว่านี่เป็นจุดเริ่มครั้งสำคัญของความเป็นชาตินิยมในตัวฮิตเลอร์เลยก็ว่าได้ และเหตุการณ์อุบัติเหตุจากแก้สครั้งนี้ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฮิตเลอร์เลือกใช้แก้สพิษใน Holocaust ดังที่ปรากฏเป็นเค้าลางในหนังสือ Mein Kampf ของเขา
"At the beginning of the Great War, or even during the War, if twelve or
fifteen thousand of these Jews who were corrupting the nation had been
forced to submit to poison-gas . . . then the millions of sacrifices
made at the front would not have been in vain
These tactics are based on an accurate estimation of human weakness and
must lead to success, with almost mathematical certainty, unless the
other side also learns how to fight poison gas with poison gas. The
weaker natures must be told that here it is a case of to be or not to
be."
.....
"นาซี - เพื่อเยอรมันนี หรือ เพื่อตัวเอง"
จากบันทึกประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า กลุ่มผู้ชื่นชอบลัทธิชาตินิยม(National Socialist) ได้มารวมตัวกัน เมื่อเยอรมันนีได้เจอกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่หลังจากที่ประเทศต้องพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1ในปี 1918 รวมทั้งขณะนั้นประเทศเยอรมันนีได้ถูกบังคับให้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาแวร์ไซล์(Treaty of Versailles)อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดของประเทศ เพราะนอกจากจะถูกรบเร้าจากปัญหาภายในต่างๆแล้ว ยังต้องรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจอันย่ำแย่และความขาดเสถียรภาพของประเทศอีกด้วย
แนวคิด The Dolchstosslegende ได้ถูกอธิบายจากกลุ่มผู้ชื่นชอบลิทธิชาตินิยมว่า การที่ประเทศเยอรมันนีประสบความล้มเหลวในการทำสงครามครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากการถูกคนในต่อต้านกันเอง ซึ่งกลุ่มผู้ชื่นชอบลิทธิชาตินิยมเชื่อว่า ปัญหาส่วนใหญ่เหล่านี้มาจากชาวยิวที่อาศัยอยู่ในประเทศเยอรมันนี และกลุ่มผู้ชื่อชอบลัทธิชาตินิยมยังเสริมอีกว่า การขาดความรักชาติของประชากรชาวเยอรมันก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำสงครามประสบความล้มเหลว ซึ่งแนวคิด Dolchstosslegende นี้เอง ที่เป็นตัวผลักดันใหญ่ชาวยิว รวมถึงประชากรทุกคนที่ไม่ใช่ชาวเยอรมันโดยสายเลือดเริ่มถูกต่อต้านโดยชาวเยอรมันแท้ๆเอง ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นถูกมองว่าเป็นพวกที่ไม่ภักดีต่อชาติหรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นพวกทรยศต่อชาตินั่นเอง นี่จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งกลุ่มที่ต่อต้านชาวยิวอย่างเป็นทางการ และเป็นชนวนที่นำมาซึ่งความคิดในการทำให้ประเทศเยอรมันนียิ่งใหญ่ และมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
กระทั่งในวันที่ 5 มกราคม ปี 1919 กลุ่มผู้ชื่นชอบลัทธิชาตินิยม (National Socialist) ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "Nazi Party" หรือ พรรคนาซี อย่างเป็นทางการ โดยก่อตั้งขึ้นในนามของ German Workers' Party (DAP) โดย นาย Anton Drexler ซึ่งในขณะนั้นประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 6 คนด้วยกัน และหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่จากภาครัฐได้ส่งฮิตเลอร์ ซึ่งยังคงทำงานให้การทหารอยู่ลงไปสืบข้อมูลกลุ่ม DAP ผลสุดท้าย ฮิตเลอร์กลับได้รับคำเชิญชวนให้เข้าร่วมกลุ่ม DAP ภายหลังจากที่เขาได้แสดงฝีมือในการพูดโต้เถียงกับสมาชิกภายในกลุ่ม DAP นั้นเอง
ฮิตเลอร์ได้เข้าร่วมกลุ่ม DAP และดำรงตำแหน่งเป็นตั้วตั้งตัวตีในการช่วยประชาสัมพันธ์หรือเผยแพร่แนวคิดของกลุ่ม อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากทักษะในการพูดของเขา และจวบจนวันที่ 29 กรกฏาคม ปี 1921 ฮิตเลอร์ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม DAP แทน Anton Drexler จนสำเร็จ
"Nazism" หรือลัทธินาซี เป็นเสมือนตัวแทนทางความคิดของกลุ่ม National Socialist German Workers’ Party(เปลี่ยนชื่อมาจาก German Workers' Party ) ที่ค่อยๆซึมซาบเข้าสู่จิตใจของผู้คนชาวเยอรมัน รวมไปถึงชาวยุโรป และอเมริกันบางคนอย่างช้าๆ ในขณะที่พรรคนาซีได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐบาลของประเทศเยอรมันนี(ช่วงปี 1933 - 1945) การเลือกตั้งอิสระในปี1932 ภายใต้รัฐบาลของพรรค Germany’s Weimar Republic ได้นำพา NSDAP(National Socialist German Workers’ Party) ขึ้นมาเป็นรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งกลุ่มNSDAPได้รับเสียงโหวตอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งครั้งนั้น อย่างที่ไม่เคยมีพรรคการเมืองใดในโลกทำได้มาก่อน
จนกระทั่งวันที่ 30 มกราคม ปี 1933 เมื่อฮิตเลอร์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเยอรมันนี แนวคิดในด้านการใช้อำนาจเผด็จการของเขาก็ได้ประจักษ์ขึ้นเป็นครั้งแรก นำมาซึ่งช่วงเวลาแห่ง Nazi Germany โดยแท้จริง
......
"โฮโลคอสท์ - เส้นทางสู่นรกบนดิน"
การล้างชาติพันธุ์ ในภาษาอังกฤษคือ "holocaust" มีรากศัพท์มาจากคำกรีก holókauston แปลว่า "ทีเดียว" (holos) "เผา" (kaustos) ซึ่งเป็นการบูชายัญต่อพระเจ้า เรียกอีกแบบหนึ่งว่า Ha-Shoah หรือ Khurbn ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คำว่า holocaust นั้นหมายถึง ความหายนะ ความล่มจม พจานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซ์ฟอร์ด เห็นพ้องต้องต้องกันว่า คำว่า holocaust หมายความถึง ลักษณะการกระทำของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่มีต่อชาวยิวในปี พ.ศ. 2485 ความหมายนี้ยังไม่ได้ถูกยอมรับอ้างอิงจนกระทั่งคริสต์ทศวรรษ 1970
จึงเป็นที่ยอมรับ อย่างไรก็ตาม
คำนี้ก็แปลโดยสามัญว่าเป็นการฆ่าล้างชาติพันธุ์ที่กระทำโดยพรรคนาซี
แต่คำว่า holocaust ก็แปลได้หลายทางเช่นกัน
เมื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเยอรมันนี การกวาดล้างชาวยิวในประเทศกว่า 525,000 คน ก็ตามมาเรียกว่าแทบจะในทันที ซึ่งสัญญาณของเหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในหนังสือ อัตถชีวประวัติ Mein Kampf ที่ฮิตเลอร์เป็นคนเขียนขึ้นมานั่นเอง โดยในช่วงต้นปี 1922 เขาเคยกล่าวกับพลตรี Joseph Hell ไว้ว่า
"Once I really am in power, my first and foremost task will be the
annihilation of the Jews. As soon as I have the power to do so, I will
have gallows built in rows – at the Marienplatz in Munich,
for example – as many as traffic allows. Then the Jews will be hanged
indiscriminately, and they will remain hanging until they stink; they
will hang there as long as the principles of hygiene permit. As soon as
they have been untied, the next batch will be strung up, and so on down
the line, until the last Jew in Munich has been exterminated. Other
cities will follow suit, precisely in this fashion, until all Germany
has been completely cleansed of Jews."
ซึ่งเป้าหมายแรกของฮิตเลอร์ คือการกำจัดชาวยิวที่เป็นกลุ่มคนมีการศึกษาออกจากตัวประเทศให้ได้ก่อน อันได้แก่ Walter Benjamin นักปรัชญา ที่ลี้ภัยไปอยู่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ปี 1933 นักแต่งนิยาย Leon Feuchtwanger ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ วาทยากร Bruno Walter ลีภัยออกจากประเทศหลังจากถูกขู่ว่าโรงอุปรากรจะต้องถูกวางเพลิงหากเขายังแสดงคอนเสิร์ตต่อ นอกจากนี้ ยังรวมไปถึง Albert Einstein อีกด้วย โดยไอสไตน์ได้ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐ อเมริกาเมื่อวันที่ 30 มกราคม ปี 1933 ก่อนจะไปที่ Ostende ใน Belgium และไม่กลับไปเหยียบประเทศเยอรมันนีอีกเลย ซึ่งไอสไตน์เองก็ถูกไล่ออกจาก Kaiser Wilhelm Society และ Prussian Academy of Sciences แล้วยังถูกเพิกถอนในการเป็นประชากรของประเทศเยอรมันนีอีกด้วย
ในปี 1935 ฮิตเลอร์ในสำเสนอกฏหมาย นูเร็มเบิร์ก(Nuremberg Laws) ซึ่งมีสภาพบังคับให้ชาวยิวทั้งหมดพ้นจากการเป็รประชากรของประเทศเยอรมันนีในทันที รวมทั้งยังตัดสิทธิทุกประการที่ประชากรชาวยิวพึงมีอีกด้วย โดยฮิตเลอร์ได้กล่าวว่า หากปัญหาที่เกิดจากชาวยิวยังไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกฏหมายฉบับนี้ มันจะต้องได้รับการจัดการด้วยกฏหมายจากกลุ่ม National-Socialist Party ซึ่งก็คือ การแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้าย ที่เรียกว่า Final Solution หรืออีกนัยหนึ่งก็คือปฏิบัติการกวาดล้างชาวยิวนั่นเอง โดยในเดือนมกราคม ปี 1939 ฮิตเลอร์ได้ประกาศแก่สาธารณชนว่า
"If international-finance Jewry inside and outside Europe should
succeed once more in plunging the nations into yet another world war,
the consequences will not be the Bolshevization of the earth and
thereby the victory of Jewry, but the annihilation (vernichtung) of the Jewish race in Europe."
วันที่ 9 พฤษจิกายน ปี 1938 ชาวยิวได้ถูกจู่โจมโดยการใช้กำลังเป็็นครั้งแรก รวมทั้งทรัพย์สินต่างๆที่เป็นของชาวยิวก็ถูกทุบตีทำลายทั่วทั้งประเทศเยอรมันนี ในขณะนั้น มีตัวเลขประมาณการณ์ไว้ว่า ชาวยิว 100 คนถูกสังหาร และอีกกว่า 30,000 ถูกส่งไปยังค่ายกักกัน ร้านค้าของชาวยิว 7,000 แห่ง และโบสถ์ 1,668 หลัง ถูกเผาทำลาย ซึ่งเหตุการณ์คล้ายๆกันนี้ก็ได้เกิดขึ้นที่เมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่ๆฮิตเลอร์เคยอยู่ในช่วงวัยหนุ่มนั่นเอง
จำนวนชาวยิวผู้เสียชีวิตยิ่งทวีคูณมากขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บ้างก็มีการสนับสนุนโดยนาซี และบ้างก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยนาซี ซึ่งยังรวมไปถึงเหตุการณ์ในเกิดขึ้นในโรมาเนีย เมื่อชาวยิว 14,000 ถูกสังหารโดยชาวบ้านและตำรวจชาวโรมาเนีย อีกด้วย
ในขณะที่ชาวยิวถูกสังหารหมู่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1939 กระทั่งในปี 1940 นาซีได้มีแผนการที่จะกำจัดชาวยิว โดยได้เริ่มร่างแผนการณ์ที่จะใช้เกาะมาดากัสก้า เป็นที่คุมขังชาวยิว ซึ่งนี่เองคือจุดเริ่มต้นของการนำไปสู่เหตุการณ์ "โฮโลคอสท์" โดยแผนการได้ถูกสร้างขึ้นภายใต้ชื่อ "territorial final solution" แต่ทว่าแผนการนี้ก็มีอันต้องล้มเลิกไป อันเนื่องมาจากสภาพทางการทหารและสงครามที่ไม่เือื้ออำนวย
.....
"ค่ายกักกัน - ค่าของการมีชีวิตอยู่คือแรงงาน"
หลังจากที่เยอรมันนีได้ประกาศสงครามกับ โปแลนด์ อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนนาดา อเมริกาใต้ และฝรั่งเศษแล้ว แนวคิดคิด anti-Semite ก็ถูกเผยแพร่ไปในประเทศ นอร์เวย ลักเซมเบิร์ก เบลเยี่ยม ยูโกสลาเวีย และกรีซ และการสังหารชาวยิวก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ในช่วงปี 1939 ชาวยิวในเยอรมันนี โปแลนด์ และออสเตรียกว่า 3.5 ล้านคนถูกจับและต้อนให้มารวมกันพื้นที่ของรัฐบาล ในขั้นแรก พวกเขาจะต้องถูกสังหารโดยการกราดยิง แต่ Hans Frank นายพลของรัฐบาลคิดว่า การกระทำนี้อาจไม่ประสบผลสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงได้มีการหาวิธีใหม่ในการกำจัดชาวยิวเหล่านี้ ซึ่งก็คือการใช้แก้สพิษนั่นเอง
ค่ายกักกันแห่งแรกถูกสร้างขึ้นในประเทศเยอรมันนี ชื่อว่า Dachau เปิดใช้งานครั้งแรก ในเดือนมีนาปี 1933 แต่เดิมเคยเป็นพื้นที่ใช้สำหรับกักขัง ทรมาน และประหารชีวิตผู้ที่เป็นนักโทษทางการเมือง เช่นพวกพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นต้น ในปี 1942 ค่ายกักกัน 6 แห่งได้ถูกสร้างขึ้นในประเทศโปแลนด์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อกักขังชาวยิว ที่เป็นเหยื่อของสงครามเชื้อชาติ นักโทษส่วนใหญ่ที่มาที่นี่จะถูกบังคับใช้แรงงานเยี่ยงทาสและถูกปล่อยให้ตายโดยอาจจะมาจากทั้งการอดอาหาร ความหนาวเย็น และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นอกจากนี้ชาวยิวบางส่วนที่ไม่สามารถทำงานได้ก็จะถูกนำไปทรมานและฆ่าทิ้ง มีผู้ประมาณกาารณ์ไว้ว่า เยอรมันนีได้สร้างค่ายกักกันไว้ถึง 15,000 แห่งด้วยกัน
โดยสถานที่มีใหญ่ที่สุดและมีการสังหารหมู่มากที่สุดคือ Warsaw Ghetto ถูกสร้างขึ้นในปี 1941-1942 ซึ่งสามารถจุคนได้ถึง 380,000 คน(ใช้งานจริง 400,000 คน) และ Łódź Ghetto ที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมา สามารถจุผู้คนได้ถึง 160,000 คน รายงานกล่าวว่า มีนักโทษ 43,000 คนตายใน Warsaw Ghetto ในปี 1941 และอีกมากกว่าครึ่งตายในปี 1942
ในปี 1941 เยอรมันนีได้เข้าบุกรุก สหภาพโซเวียต ชาวยิวกว่า 3 ล้านคนถูกจับกุม ในขณะที่อีกล้านกว่าคนลี้ภัยไปยังฝั่งตะวันออก การสังหารหมู่ที่โหดเหี้ยมที่สุดของเยอรมันนีในดินแดนของสหภาพโซเวียต เกิดขึ้นในปี 1941 นอกเมือง Kiev โดยมีชาวยิวกว่า 33,771 คนถูกฆ่าด้วยการสั่งการเพียงครั้งเดียว โดยมีพยานให้การในวันนั้นได้เล่าว่า ชาวยิวทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก และคนชราจะถูกลำเลียงขึ้นไปบนรถไฟ จากนั้นจะถูกเรียกออกมากลุ่มละ 10 คน พวกเขาจะต้องถอดเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายทั้งหมด และยืนเรียงแถวหน้าหลุมซึ่งถูกขุด ยาว 150 เมตร กว้าง 30เมตร และลึก 15เมตร ก่อนจะถูกยิงและโยนทิ้งลงในหลุมดังกล่าวคนแล้วคนเล่า
และในปีเดียวกันนี้ ที่ค่ายกักกัน Bogdanovka ใน Transnistria ชาวยิวกว่า 50,000คนก็ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมเช่นกัน ชาวยิวส่วนหนึ่งจะถูกนำไปขังรวมกันในห้องขัง ก่อนจะถูกจุดไฟเผาทั้งเป็น และอีกส่วนหนึ่งจะถูกใช้ให้ขุดเหมืองด้วยมือเปล่าๆท่ามกลางหิมะจนหนาวตาย ชาวยิวประมาณ 40,000 คนตายในค่ายกักกันนี้
จนกระทั่งในช่วงปลายปี 1941 เมื่อนาซีเห็นว่าการสังหารชาวยิวมีความล่าช้าเกินไป จึงได้นำแก้สพิษมาใช้ในการสังหารหมู่ โดยชาวยิวจะถูกต้อนให้เข้าไปอัดรวมกันอยู่ในห้องแคบๆ ก่อนจะถูกรมด้วยควันพิษจนตาย มีการนำแก้สพิษต่างๆมากมายมาใช้ในการสังหารครั้งนี้ เริ่มแรกนั้นมีการใช้ไซคลอนบี(เป็นสารไซยาไนต์แบบระเหยได้) จากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นซารินที่ร้ายแรงกว่ามาก ซึ่งการสังหารจะใช้เวลาเพียงแค่ประมาณ 20 นาทีเท่าันั้น Joann Kremer นายแพทย์ที่ทำงานอยู่ในค่ายกล่าวว่า เขาได้ยินเสียงตะโกนและกรีดร้องด้วยความทรมานดังออกมาจากข้างในห้องอย่างชัดเจน ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่า พวกเขาแต่ละคนพยายามดิ้นรนสุดชีวิต เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป และเมื่อแน่ใจว่าทุกคนตายหมดแล้ว ศพจะถูกขนออกมา และถูกงัดฟันทองออกจากปาก ก่อนจะถูกนำไปกลบฝัง มีการทำความสะอาดห้อง และทาสีใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชาวยิวกลุ่มต่อไปอยู่ตลอดเวลา
......
"สู่อิสรภาพ - RIP for all innocents"
ค่ายกักกันแห่งแรก Majdanek ถูกค้นพบโดยทหารโซเวียต เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ปี 1944
ค่าย Auschwitz เมื่อวันที่ 27 มกราคม ปี 1945 โดยทหารโซเวียตเช่นเดียวกัน
ค่าย Theresienstadt โดยทหารโซเวียต
ค่าย Buchenwald, Mauthausen และ Dachau โดยทหารอเมริกัน
ค่าย Bergen-Belsen โดยอังกฤษ
นอกจากนี้ยังมีค่าย Treblinka, Sobibor, and Belze ที่ถูกทำลายโดนนาซีเมื่อปี 1943
นายพล William W. Quinn แห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา กล่าวว่าทหารของเขาได้ยินเสียงกรีดร้อง และเห็นภาพการทารุณกรรมอันน่าเวทนา จนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มันเป็นความโหดร้ายที่เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะคิดได้
ค่ายกักกันส่วนใหญ่ถูกค้นพบโดยโซเวียต นักโทษมากมายเสียชีวิต และเหลือเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้นที่รอดเหลืออยู่ ชาวยิว 7,000 คน ถูกพบใน Auschwitz รวมถึงเด็กจำนวน 180 คนที่ถูกใช้ในการทดลองทางการแพทย์ นักโทษอีก 60,000 คนถูกค้นพบใน Bergen-Belsen โดยทหารอังกฤษ ที่ซึ่งศพกว่า 13,000 ศพนอนเกลื่อนกลาด และอีกหมื่นกว่าคนตายเพราะขาดอาหาร
สถิติการเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้
- 5-6 ล้านคน เป็นชาวยิว รวมทั้งชาวโปแลนด์ที่เป็นยิว 3 ล้านคน
- 1.8-1.9 ล้านคน เป็นชาวคริสเตียนและผู้คนที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่ต่อต้านพรรคนาซีและถูกนาซียึดครอง
- 200,000-800,000 คน เป็นชาวโรมาหรือชาวยิปซี
- 200,000-300,000 คน เป็นผู้ที่ไม่มีประโยชน์ในการใช้แรงงาน
- 80,000-200,000 คน เป็นผู้ที่มาจากสมาคมของยุโรปที่ต่อต้านการกระทำของพรรคนาซี
- 100,000 คน เป็นผู้ที่นับถือลัทธิคอมมิวนิสต์
- 10,000-25,000 เป็นพวกรักร่วมเพศ
- 2,500-5,000 เป็นชาวคริสเตียน นิกายพยานของพระยโฮวา (Jehovah's Witnesses)
รูล ฮิลเบิร์ก เจ้าของผลงานหนังสือ The Destruction of the European Jews
(การสังหารชาวยุโรปเชื้อสายยิว) คาดว่ามีชาวยิวทั้งหมด 5.1
ล้านคนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การล้างชาติพันธุ์ของนาซี
จากสถิติกล่าวไว้ว่า มากกว่า 8 แสนคน
เสียชีวิตจากบริเวณเกท-โทและความขาดแคลน, 1.4
ล้านคนเสียชีวิตเพราะถูกยิงทิ้งกลางแจ้ง และมากกว่า 2.9 ล้านคน
เสียชีวิตอยู่ในค่ายกักกันนั้น
เอง
ฮิลเบิร์กประมาณการว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตในประเทศโปแลนด์เป็นจำนวนมากกว่า
3 ล้านคน ตัวเลขที่ฮิลเบิร์กนำมาพิจารณานี้ได้มาจากบันทึกเท่าที่หาได้
จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
..........
...........
อ้างอิงข้อมูลจาก
|