จดหมายระหว่างทาง(FL)...ตอนที่ 13

 

พ่อจ๋า...  

          พอรถนิ่งปุ๊บ ซันนี่ก็หันมาหาพวกเราปั๊บถามว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่าแล้วรีบขอโทษขอโพยพวกเรายกใหญ่ ทั้งที่เรื่องเกิดจากรถเก๋งคันนั้นที่โผล่พรวดเข้ามาแบบไม่ให้สัญญานใดๆ เลยต่างหาก รถของเราจอดนิ่งกลางถนนอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ทอนย่าซึ่งหวาดเสียวอยู่คนเดียวที่เบาะหลังตลอดเวลาที่เกิดเหตุเปิดประตูรถวิ่งไปหาซันนี่ตรงที่คนขับเพื่ออาสาขับพารถเข้าข้างทาง แต่ซันนี่ซึ่งคุมสติได้ดีมากอาสาจะขับเข้าไปเอง

 รถแวนของเราขับไปต่อท้ายรถแวนของเจฟที่หยุดรอเมื่อเห็นเหตุการณ์ เมื่อเห็นว่ารถของพวกเราเข้าจอดข้างเรียบร้อยทางแล้ว ไฮเวย์เส้นนี้ก็กลับมีชีวิตชีวาด้วยแสงไฟของรถหลากหลายชนิดเหมือนเดิม ทันทีที่รถของเราจอด คนจากรถแวนคันที่เจฟขับที่รออยู่แล้ว ก็วิ่งแข่งกันมาหาพวกเราด้วยท่าทางตกใจสุดฤทธิ์ พร้อมทั้งมาปลอบอกปลอบใจพวกเรากันยกใหญ่ โดยเฉพาะอมีเลียนี่จับมือหนูกับซาร่าไม่ปล่อยเลย ทีแรกหนูก็งงๆ ว่าจะตกใจกันไปทำไม เพราะพวกหนูที่อยู่ในเหตุการณ์มีแต่ยูกิโกะเท่านั้นที่ช็อก นั่งตัวแข็งร้องไห้เงียบๆ อยู่ในอ้อมกอดเบคกาซึ่งเป็นนักเรียนพยาบาล (ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาพอดี โชคดีนะเนี่ยมีเบคกาอยู่ด้วย) นอกนั้นทุกคนดูปกติดีจะตาย (รวมทั้งหนูด้วยจ้า ไม่ต้องเป็นห่วง)

 ต่างคนต่างเล่าความรู้สึกของตนกันใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นทอนย่ากับพี่กันที่คิดว่ารถต้องคว่ำแน่แล้ว รถต้องชนกำแพงแน่ๆ ต้องมีรถมาชนตอนที่รถเราหมุนแน่แล้วแน่แล้ว หรือไม่ตอนที่เราหยุดหมุนต้องมีรถมาชนซ้ำชัวร์ แล้วทอนย่ากับพี่กันจะต้องตายก่อน เนื่องจากไม่มีเข็มขัดนิรภัยกันทั้งคู่

 พวกที่มาจากรถอีกคันที่เห็นเหตุการณ์ยิ่งแย่กว่า เพราะหันกลับมาเห็นรถแวนเพื่อนกำลังหมุนติ้วด้วยความเร็วอยู่กลางถนน ในใจคิดว่าแบบนี้เพื่อนเราตายแหงแก๋ ต้องได้เห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตาแน่  ไปๆ มาๆ พวกที่เป็นคนดูเลยใจเสียกว่าพวกที่เป็นคนรอดตายเสียอีก มิน่าล่ะ อมีเลียถึงจับมือหนูกับซาร่าไม่ยอมปล่อยเลย ทั้งๆ ที่เราสองคนก็ยืนยันว่าไม่เป็นไร

 เมื่อเห็นว่าคนส่วนมากเป็นปกติดี ก็เลยตกลงว่าจะเดินทางกันต่อโดยทอนย่าซึ่งหายง่วงเป็นปลิดทิ้งกลับมาเป็นคนขับอีกที แต่ออกรถได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุด เพราะรถแวนคันเราส่งเสียงดังมาก ดูท่าจะมีอะไรสักอย่างพังจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ซะแล้ว หลังจากที่เราวิทยุบอกคันข้างหน้า เจฟก็โทรติดต่อทางมหาวิทยาลัยเพราะเราต้องได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยก่อนถึงจะสามารถซอ่มรถได้ แต่ทางมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้ซ่อม กลับบอกว่าจะส่งรถอีกคันมาให้พวกเราแทน

 พวกเราเลยต้องรอรถคันใหม่อยู่ที่นี่ บนไฮเวย์ที่ห่างมหาวิทยาลัยไปกว่าสองชั่วโมง เจฟเลยพาบรรดาสมาชิกในรถตัวเองไปขออาศัยนั่งในล้อบบี้ที่โรงแรมแถวนั้น ก่อนขับกลับมาขับนำรถเราตามไปยังโรงแรมด้วย (รถยังพอวิ่งได้แหละพ่อจ๋า แต่เสียงดังครืดคราดน่ากลัวทำให้ไม่มั่นใจในความปลอดภัยหากจะพามันวิ่งต่อไปอีกสองชั่วโมง)

 แล้วพวกเราก็ได้แต่เฝ้ารอ

 ทอนย่า นาโอมิ ซาร่า หนู และพี่กันออกจากล้อบบี้โรงแรมไปต่อคิวโทรศัพท์กันที่ร้านอาหารเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงข้างๆ โรงแรมนั่นแหละ ระหว่างที่รอทอนย่าโทรบอกคุณแม่ที่บ้าน หนูกับซาร่าก็เล่าความรู้สึกให้นาโอมิซึ่งอยู่บนรถอีกคัน แต่ไม่ทันเห็นเหตุการณ์ได้ฟัง ไปๆ มาๆ นาโอมิกลับเป็นคนที่ร้องไห้แทนด้วยความตกใจ ปลอบนาโอมิเพิ่งเสร็จซาร่าก็ร้องไห้บ้างเมื่อโทรกลับบ้าน เจ้าตัวมาบอกทีหลังว่าเมื่อสามปีก่อนเคยมาเรียนภาษาที่อเมริกา แล้วอาจารย์ชาวใต้หวันที่เป็นหัวหน้าคณะก็เช่ารถแวนแบบนี้ขับพาเที่ยว แล้วก็เกือบจะเกิดอุบัติเหตุคล้ายๆ อย่างนี้เหมือนกัน เรียกได้ว่าเกือบตายบนไฮเวย์ต่างบ้านต่างเมืองมาแล้วทีนึง มาเจอคราวนี้อีกหนเจ้าตัวเลยทนไม่ไหว ขอร้องไห้ดีกว่า

 หนูเห็นอาการของซาร่าแล้วเลยต้องเลิกความตั้งใจที่จะโทรกลับบ้าน เพราะขืนโทรตอนเพิ่งเกิดเหตุหมาดๆ แถมยังไม่ถึงบ้านแบบนี้ โทรไปที่บ้านต้องประสาทกินกันแน่นอน หนูก็อยากโทรบอกตอนนั้นนะจ๊ะ เพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาหยกๆ ถึงจะทำเป็นเล่าให้มันดูตลกๆ แต่จริงๆ ก็ทำเอาใจฝ่อเหมือนกัน อยากได้ยินเสียงที่บ้าน แต่ก็ไม่อยากให้ที่บ้านกลุ้มด้วยความเป็นห่วง ว่าแล้วก็เลยต้องเลือกโทรหาเพื่อนที่แน่ใจว่าโทรไปแล้วปฎิกิริยาที่จะได้กลับมาคือการเฉย ไม่กระโตกกระตากทำให้เราเสียขวัญไปด้วยแน่นอน เอาไว้กลับถึงบ้านก่อนล่ะจ้า ค่อยโทรหาที่บ้านเรา ทุกคนจะได้โล่งใจที่หนูอยู่บ้านอย่างปลอดภัยแล้วไงจ๊ะ

 ก่อนหน้าที่จะมาอยู่ในล้อบบี้ของโรงแรมกัน สมาชิกของรถเราต้องรออยู่บนรถที่จอดไว้ข้างถนน เพื่อให้เจฟกลับมานำทางให้ เจฟเอาสมาชิกรถตัวเองไปฝากไว้ที่โรงแรมแถวนั้น ก่อนกลับมาพร้อมอังเดรสมาแลกรถกัน เจฟขับรถพวกเรานำไป ให้ทอนย่าขับรถเจฟพาพวกเราตามไปที่โรงแรม เป็นหัวหน้าทีมนี่แย่เนอะพ่อ ต้องเอาตัวเข้าแลก เห็นความเป็นไปได้ที่รถจะมีอันตรายก็ต้องเปลี่ยนให้ตัวเองไปเสี่ยงคนเดียว เอาคนอื่นๆ มาไว้อีกคันที่ปลอดภัยแทน เป็นแฟนหัวหน้าทีมก็แย่เหมือนกัน เพราะซันนี่ก็นั่งรถคันที่มีความผิดปกติอะไรสักอย่างนั่นไปคู่กับเจฟ

 ระหว่างที่รอ  ซันนี่กระซิบทอนย่าว่าพระเจ้าได้ช่วยพวกเราไว้ ทอนย่าเองก็บอกว่าพระเจ้าได้ส่งนางฟ้านับร้อยนับพันมาประคองรถแวนคันนี้ไว้ ทำให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง ส่วนสตีฟโพล่งขึ้นมาคำหนี่งที่ตรงใจมาก คำนั้นคือ ปาฎิหาริย์

 หนูเลยบอกทอนย่าว่าเห็นด้วยทั้งหมดเลย งานนี้พระเจ้าเค้ากับพระพุทธเจ้าเราร่วมมือกันสุดฤทธิ์เพื่อช่วยชีวิตพวกเราไว้ (งานนี้ทอนย่าไม่ให้เครดิตพระพุทธเจ้าเราเลย เนื่องจากศาสนาเค้าเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว เพราะฉะนั้นคงจะมานับถือว่าคุณพระคุณเจ้าของเรามีส่วนช่วยในครั้งนี้ อย่างที่เราเชื่อว่าพระเจ้าของเขาก็มีส่วนช่วยในครั้งนี้ไม่ได้ ก็เข้าใจล่ะจ้า ไม่ว่าอะไร มันเป็นเรื่องของความเชื่อในแต่ละบุคคลล่ะนะ)

 ต่างคนต่างคิดเหมือนกันว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เกิดเหตุการณ์อย่างที่พวกเราเพิ่งประสบมา บนถนนไฮเวย์ที่รถมากมายวิ่งด้วยความเร็วสูง (ครึ่งนึงเป็นรถบรรทุกขนาดยักษ์เสียด้วย) แล้วคนในรถแวนจะรอดชีวิตหรือไม่บาดเจ็บสักกะนิดอย่างที่พวกเราเป็นอยู่ เมื่อซันนี่เงียบไปพักหนึ่งเพื่อสวดขอบคุณพระเจ้า หนูเลยถือโอกาสเงียบบ้างเพื่อสวดมนต์ขอบคุณบ้าง คิดในใจว่าจะต้องขอบคุณสตีฟกับซันนี่ด้วย ที่ช่วยให้พวกเราผ่านเวลาอันน่าสะพรึงกลัวนี้ไปได้

 หนูไม่ได้งมงายนะพ่อจ๋า แต่หนูว่ามันคงเป็นอะไรหลายๆ อย่างรวมกันน่ะพ่อ ทั้งปาฎิหาริย์ ทั้งความสามารถของคน ถ้าไม่ได้ปาฎิหาริย์ รถคันอื่นๆ ก็คงพุ่งชนรถเรายับไปแล้ว และถ้าไม่ได้ความสามารถในการบอกทางของสตีฟ กอปรกับความสามารถในการคุมสติของซันนี่ ก็ไม่รู้ว่ารถเราจะล่องลอยไปถึงไหน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้พวกเรารอดมาได้ หนูก็ขอขอบคุณทั้งนั้นล่ะจ้า เอาเป็นว่าถึงบ้านเมื่อไหร่แล้วหนูค่อยโทรบอกพ่อแล้วกันนะจ๊ะ

 ก็คงบอกเหมือนเดิมล่ะจ้าว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงยังไงหนูก็รู้แหละว่าไม่ว่าหนูจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายมากๆ หรือเป็นปกติเสียไม่มี พ่อและทุกคนที่บ้านก็ต้องเป็นห่วงหนูอยู่เหมือนเดิม เหมือนๆ กับที่หนูเป็นห่วงทุกคนที่บ้านล่ะจ้า

 อย่างว่าล่ะนะ...ยิ่งไม่รู้ แถมอยู่ไกล ก็ยิ่งเป็นห่วง เอาเถอะจ้าอีกปีกว่าๆ เราก็จะได้กลับไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนเดิมแล้ว รอหนูก่อนแล้วกันนะพ่อจ๋า

 

รักพ่อค่ะ...

 

เพนนี


 


 

ตอนที่ 12 เพนนีกับพีนัท Home