จดหมายระหว่างทาง(FL)...ตอนที่ 4

                          

พ่อจ๋า...

           
คืนแรกที่ฟลอริดาผ่านไปอย่างไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก อันที่จริงมันดูเหมือนว่าจะดีล่ะนะพ่อนะ หลังจากตื่นเต้นกับชายหาดยามค่ำคืนแล้ว พวกเราก็เดินไปยังร้านพิซซ่าแถวนั้น ตกลงกันด้วยระยะเวลานานพอควรก็สรุปได้ในที่สุดว่าจะสั่งพิซซ่าหน้าอะไร

            ที่ต้องใช้คำว่าสรุปได้ในที่สุด เพราะว่าตกลงกันนานมากน่ะจ้า คนโน้นไม่ทานโน่น คนนี้ไม่ทานนี่ อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด สังเกตว่าระหว่างการตัดสินใจนี้ แบ่งคนในโต๊ะได้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มเด็กเอเชีย ที่หลังจากบอกความต้องการของตัวเองแล้ว จะปิดท้ายด้วยประโยคประมาณว่าจริงๆ จะเอาอะไรมาก็ได้ ไม่ลำบากใจที่จะทานสิ่งที่ตัวบอกมาเมื่อกี้นี้ว่าไม่ค่อยชอบ ต่างกับเด็กชาติอื่นที่ไม่ใช่เอเชีย พวกนี้จะรักษาสิทธิ์ตัวเองสุดฤทธิ์ โดยการยืนยันเลยว่าตนไม่ชอบโน่นไม่ชอบนี่ และไม่ทนทานเด็ดขาด ไม่ต้องสั่งมาเชียวนะ

             แล้วระหว่างรอเราก็เล่นเกมพรายกระซิบกัน หนูว่าตอนเล่นเกมนี้ที่เมืองไทยลำบากแล้ว พอมาเล่นที่นี่เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงแตกต่างกันไป (จากการมีทั้งอเมริกันและนักเรียนต่างชาติ) เกมนี้ยิ่งลำบากกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า กว่าจะกระซิบจากคนแรกไปถึงคนสุดท้าย ประโยคก็เปลี่ยนไปเยอะ ทำให้พวกเราได้หัวเราะกันเฮฮาระหว่างรออาหาร แทนที่จะนั่งโมโหหิวกัน

           
ที่เล่ามามันก็ดูราบรื่นดีใช่ไหมพ่อจ๋า แต่เรื่องมันเกิดหลังจากนั้นน่ะสิจ๊ะ เรื่องมันมีอยู่ว่าพอพิซซ่ามาต่างคนก็ต่างทานด้วยความหิว หนูก็ทานไปคุยกับซันนี่ไป ไม่รู้ว่ายูกิโกะหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่นานนักซันนี่ที่ท่าทางเหนื่อยผิดปกติก็วิ่งไปห้องน้ำซะเฉยๆ ท่ามกลางความตกใจของทุกคน

            หนูเองก็เป็นห่วงแต่ไม่เข้าไปตาม เพราะถ้าหนูมีอาการแบบซันนี่หนูจะไม่ต้องการให้ใครเข้ามาใกล้ ขอเวลาหนูอยู่คนเดียวดูแลตัวเองดีกว่า (ถ้าไม่ไหวจะขอความช่วยเหลือเอง) แต่ซาร่าอดรนทนไม่ได้ตามเข้าไป ไม่นานนักซาร่าก็ออกจากห้องน้ำมาบอกว่าซันนี่ไม่ค่อยสบาย และขณะที่ซาร่าเข้าไปดูแลซันนี่อยู่ในห้องน้ำ จู่ๆ ยูกิโกะซึ่งหายจากโต๊ะแบบไม่มีใครสังเกตมาก่อน ก็เปิดประตูห้องน้ำห้องที่ตัวเองเข้าไปหลบอยู่ออกมาหาทั้งๆ ที่ยังร้องไห้อยู่

            คราวนี้ทำเอาซาร่าตกใจทำอะไรไม่ถูก หน้าตาตื่นวิ่งกลับมารายงานที่โต๊ะของพวกเรา ปล่อยให้คนป่วยซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะมากที่สุดในกลุ่ม (ถ้าไม่นับหัวหน้ากลุ่มอย่างเจฟ) พายูกิโกะออกไปปลอบใจนอกร้าน คราวนี้งานก็เริ่มกร่อย พวกเรารีบจ่ายเงินก่อนออกมารอสองสาวหน้าร้าน และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อสองสาวกลับเข้ามาสมทบ

            หนูกับพี่กันอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายในการเดินกลับที่พัก เนื่องจากซันนี่ไม่ค่อยสบาย หยุดกลางทางทำท่าจะอาเจียนทีสองที แต่แล้วเมื่อกลับมาถึงที่พักซันนี่ก็ขอบคุณทุกคนที่เดินรั้งท้ายเป็นเพื่อน และขอตัวอยู่คนเดียวอย่างสุภาพ ทำเอาพวกเราไม่รู้จะทำอย่างไร จำเป็นต้องปล่อยซันนี่ไว้คนเดียวด้วยความเป็นห่วง

            พี่กันยัวะใหญ่ที่เจฟ ซึ่งเป็นแฟนของซันนี่ไม่มาดูแล แต่หนูคาดว่าเค้าสองคนยังไม่ได้เปิดตัวกัน คือคนที่มาที่นี่เค้ายังไม่รู้กันว่าเจฟกับซันนี่เป็นแฟนกัน (มีแต่สำนักข่าวไทยอย่างเราๆ นี่แหละที่รู้ข่าวกันเร็วนัก) อีกอย่างเจฟเป็นหัวหน้ากลุ่ม ทั้งเขาและซันนี่คงจะเข้าใจตรงกันว่าการดูแลสมาชิกกลุ่ม โดยเฉพาะบรรดานักเรียนต่างชาติ จะต้องมาก่อนสำหรับเจฟอยู่แล้วในเวลานี้ ซึ่งก็จริงเพราะหลังจากเข้าที่พักจัดการอะไรๆ เรียบร้อยแล้ว เจฟก็ไปหาซันนี่แทบจะทันที

            ส่วนในห้องนอนผู้หญิง เคโกะหรือเคย์ สาวญี่ปุ่นตัวน้อยจอมซนกำลังปูถุงนอนบนโซฟาอยู่ ถามได้ความว่ากำลังจัดที่นอนให้ซันนี่ ว่าแล้วเจ้าตัวเล็กที่สุดของกลุ่มก็เอาหมอนที่ตัวเองอุตส่าห์หอบหิ้วมาวางบนที่นอนให้ด้วย เพื่อที่ซันนี่จะได้นอนสบายๆ น่ารักจริงๆ

           
แล้วก็มาถึงวันจันทร์ล่ะพ่อจ๋า เราตื่นกันตั้งแต่เช้าในวันนี้ ขึ้นรถแวนมุ่งตรงไปยังสำนักงานขององค์กรการกุศลที่เรามาเป็นอาสาสมัครสร้างบ้านให้ ได้ข่าวว่าสัปดาห์นี้นอกจากพวกเราแล้วยังมีเด็กนักเรียนจากมินเนสโซตา (University of Minnesota) และเยล (Yale University) มาช่วยกันสร้างบ้าน

            พวกเราไปถึงเป็นกลุ่มแรก ตามมาติดๆ ด้วยเด็กจากมินเนสโซตาซึ่งเป็นอเมริกันล้วนๆ ทั้งกลุ่มประมาณสิบสองคน (มีผู้หญิงแค่สามคน ต่างจากกลุ่มเราสิบเจ็ดคนที่มีผู้หญิงตั้งสิบเอ็ดคนแน่ะ) เจ้าหน้าที่เรียกให้ไปที่โต๊ะอาหารเช้าซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง มีขนมปัง ครีมชีส แยมผลไม้ และน้ำส้มวางไว้ให้บริการตัวเอง ต่างคนต่างหยิบแล้วมานั่งทานกันด้วยความหิว

            จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พากันมาแนะนำตัว และพูดแนะนำคร่าวๆ เกี่ยวกับการสร้างบ้าน หนูไม่ค่อยฟังเท่าไหร่เพราะมัวแต่มองพวกเด็กมินเนสโซตาด้วยความอิจฉา ก็พวกเค้ามีเสื้อทีมใส่กันด้วยน่ะพ่อ เป็นเสื้อยืดสีเหลืองแสบตา สกรีนว่าเป็นอาสาสมัครของที่นี่ ทีแรกคิดสงสัยว่าเค้าคงแจกเสื้อยืดกัน (แต่ทำไมพวกเราไม่ได้ล่ะ) คิดไปคิดมาก็สรุปได้ว่าทางมินเนสโซตาคงมีชมรม หรือไม่ก็มีเงินพอที่จะทำเสื้อทีมเองมากกว่า

           
ไม่นานนักทีมที่พวกเรารอคอยก็มาถึง ทีมที่มาจากเยลนั่นเอง มีเด็กเข้ามาเกือบยี่สิบคนซึ่งล้วนแต่หน้าตาเป็นเด็กนักเรียนต่างชาติ!!! หนูไม่อยากจะเชื่อเลย ไหนบอกว่าพวกหนูเป็นนักเรียนกลุ่มแรกไงที่เกือบจะเป็นอาสาสมัครนักเรียนต่างชาติทั้งหมด แต่ทำไมเด็กที่มาจากเยลหน้าตาไม่เป็นอเมริกันสักกะคน นี่มันอะไรกันเนี่ย

            ไม่ใช่หนูคนเดียวด้วยที่งง เพราะพรรคพวกทีมเราเองต่างคนก็ต่างประหลาดใจ ก็ชื่อเยลมันหรูหราน้อยซะที่ไหนล่ะ ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว พวกเราที่รู้กิตติศัพท์ของมหาวิทยาลัยนี้ก็ตกใจว่าเด็กจากมหาวิทยาลัยเล็กๆ อย่างพวกเราจะได้ไปสร้างบ้านพร้อมๆ กับเด็กจากเยล มันต้องเป็นกิจกรรมร่วมที่น่ากลัวมากๆ แน่เลย เพราะคนที่จะเข้าเยลได้นั้นต้องทั้งเก่งมากและมีเงินมาก แถมได้ยินมาจากคนรู้จักที่ลูกเค้าอยู่เยลว่าบรรยากาศมันเคร่งเครียดแปลกๆ อีกด้วย (ต่างจากมหาวิทยาลัยเราที่หาเรื่องปาร์ตี้กันได้ร่ำไป)

            งานนี้พวกหนูก็กังวลว่าบรรดาเด็กจากเยลจะเป็นยังไงบ้างเมื่อเจอกับพวกเรา คาดหวังไว้ว่าจะเจออเมริกันที่ดูมีความรู้และหรูหราในเวลาเดียวกัน อ้อ...ต้องเย็นชาแล้วก็วางท่าหน่อยๆ ด้วย แล้วนี่อะไรกัน หน้าตาเป็นเด็กนักเรียนต่างชาติทั้งนั้น แถมส่วนมากยังเป็นเอเชียเสียด้วย งานนี้พวกเราใจชื้น เพราะถึงพวกเค้าอาจเป็นเด็กต่างชาติที่เกิดและโตที่นี่ (ตามที่พวกเราสันนิษฐานกันเอง) แต่ก็มีหน้าตาต่างชาติเหมือนกันล่ะ คงเป็นเพื่อนกันได้ง่ายขึ้นล่ะทีนี้

            ไม่ดีเลยใช่ไหมพ่อจ๋า ที่พ่อเคยสอนไว้ว่าอย่าตัดสินคนจากภายนอก มาตอนนี้แค่ได้ยินชื่อมหาวิทยาลัย หนูกับเพื่อนๆ ก็วาดภาพพวกเขาเสียน่ากลัวแล้ว พอมาเจอเข้าจริงๆ ที่แต่ละคนไม่เหมือนกับภาพที่วาดกันไว้โดยสิ้นเชิงอย่างนี้ ทำให้ละอายใจจริงๆ น่ะจ้า

รักพ่อค่ะ...


เพนนี

 

 

 

ตอนที่ 3 เพนนีกับพีนัท ตอนที่ 5