จดหมายระหว่างทาง(FL)...ตอนที่
7
พ่อจ๋า...
ตื่นมาตอนเช้าปวดเมื่อยไปทั้งตัวตามที่คาด โดยเฉพาะข้อมือขวา
แสดงว่าเมื่อวานตอนใช้ฆ้อนส่งแรงผิด แทนที่จะใช้แขนส่งแรง
ดันใช้ข้อมือแทน วันนี้เลยปวดข้อมือสุดใจขาดดิ้น
สัญญากับตัวเองว่าวันนี้จะไม่ใช้ฆ้อนแน่ๆ
หนูเปลี่ยนงานจากตอกตะปูไปแบกของ และช่วยส่งของให้คนโน้นคนนี้แทน
ปีนขึ้นลงบันไดไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบเพื่อส่งวัสดุในการสร้างบ้านให้คนที่อยู่บนคานบ้าน
ยังไงก็ดีกว่าต้องตอกตะปูในวันที่ข้อมือปวดมากล่ะจ้า
อาหารกลางวันวันนี้มาเร็วทันใจไม่มีการชักช้า
แต่ว่าไม่มีใครมีกำลังแขนพอที่จะโหนเชือกแล้ว แม้แต่ซันนี่เอง
อ้าว...หนูลืมบอกพ่อไปนี่นาว่าเมื่อวานซันนี่โหนเชือกตามคำเรียกร้อง
แต่แรงแขนไม่มีทำให้หล่นปุ๊ไปตรงกลางคูที่เป็นดินเลน
และแล้วสาวเก่งของทีมเราก็ไม่ยอมแพ้
ขอไปโหนอีกรอบทำให้หล่นลงมาหนักกว่าเดิม
ได้แผลถลอกทั้งใหญ่ทั้งยาวที่ขา วันนี้ซันนี่เลยบอกว่าจะมาแก้มือ
เพราะเค้าคิดว่าเค้าต้องทำได้แต่ดันทำไม่ได้
เลยยัวะต้องพยายามทำให้ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อดูสภาพร่างกายแล้ว
ซันนี่ซึ่งมีสติอยู่กับตัวมากพอก็รู้ว่าถ้าโหนเชือกวันนี้
โอกาสจะเป็นอันตรายกับตัวยิ่งมากกว่าเมื่อวาน
ก็เลยหยุดความตั้งใจที่จะโหนเชือกไปโดยปริยาย
วันนี้ได้ขึ้นหลังคาอีกแล้ว ขึ้นไปตอกๆ
ตะปูนิดหน่อยก่อนลงมาเพราะหลังคาด้านที่ตอกอยู่จวนเสร็จเต็มที่เลยเกิดอาการคนล้นงาน
ขาขึ้นคล่องแคล่วกว่าเดิม เริ่มๆ เดินเตาะแตะบนหลังคาได้บ้าง
แต่ขาลงยังรันทดอยู่เหมือนเดิมล่ะพ่อจ๋า
ก็มันหวาดเสียวกว่าตอนขาขึ้นน่ะ
ลงมาจากหลังคาอีกไม่นานก็จวนได้เวลาเลิกงาน
เลยไปอู้ดูพี่กันกับสตีฟทำงาน สองหนุ่มทำงานในร่มแต่บนที่สูง
คือปีนขึ้นไปตอกไม้บนคานบ้าน เดินไปเดินมากันอยู่บนคานสูงๆ
นั่นแหละ จะคุยทีแหงนคอแทบแย่
พอดีมองออกไปนอกบ้านเห็นรถบรรทุกขนไม้มาต้องการคนยก
เลยไปช่วยเขายกแก้กลุ้มดีกว่ามาแหงนคอคุยอู้กับสองหนุ่มอย่างนี้
แล้วก็ได้เรื่องล่ะพ่อจ๋า พูดให้ถูกคือได้เลือดต่างหาก
เพราะหนูไม่เจียมเองแหละ แรงแขนก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว
ยังมีหน้ามาช่วยเขาขนไม้ (ก็เห็นไม่ค่อยมีคนอยู่แถวนั้นนี่นา)
เจ้าหน้าที่ที่อยู่บนรถบรรทุกก็บอกแล้วว่าไม้หนักให้ระวัง
ก่อนที่จะหย่อนไม้จากรถบรรทุกมาให้ รู้น่ะนะพ่อจ๋าว่ามันหนัก
ก็ไม้ท่อนนึงทั้งใหญ่ทั้งยาวขนาดหนุ่มๆ แบกสองคนกำลังดี
ไม่ใช่หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวอย่างที่พวกเราต้องแบกเพราะกำลังคนไม่พออย่างนี้
แต่ไม่คิดว่าไม้หนักๆ
ที่ถูกหย่อนลงมาจากที่สูงมันจะหนักเหนือความคาดหมายขนาดนี้
ว่าแล้วมุมนึงของเจ้าไม้ที่ว่าก็ขูดเข้ากับแถวๆ ข้อมือหนู
เจ้าหน้าที่เขาก็เห็นแหละเลยรีบขอโทษใหญ่ด้วยความเป็นห่วง
ไอ้หนูก็ฟอร์มจัดตามสัญชาตญาน
ทำหน้าตาว่าไม่เป็นอะไรก่อนจะยกอีกด้านของไม้ตามหนุ่มฝรั่งข้างหน้าไป
(สงสารหนุ่มนั่นเหมือนกัน
เค้าก็เหลือบๆ ว่าหนูไหวรึเปล่า เพราะนอกจากแขนจะไม่มีแรงแล้ว
ขายังไม่มีแรงอีกด้วย เนื่องจากของที่แบกเมื่อเช้านี่ก็หนักใช่ย่อย
สามคนแบกแล้วยังหนักอยู่ดี เลยส่งผลมาตอนนี้)
สุดท้ายหนูก็ประคองเจ้าไม้ที่ว่าไปยังที่ที่มันควรอยู่ได้
แล้วหนูก็ตรงดิ่งไปยังคูลเลอร์น้ำดื่มเพื่อล้างแผล
เพิ่งได้มาดูแผลตอนนี้ล่ะจ้า
(ไม่กล้าดูก่อนหน้านี้
กลัวว่าถ้าแผลดูแย่มากจะไม่มีแรงยกไม้ให้ถึงที่ได้)
เป็นแผลถลอกยาวประมาณหนึ่งนิ้วฟุต กว้างประมาณครึ่งเซนติเมตร
ไม่เจ็บเท่าไหร่แต่แดงมากทำให้ดูน่ากลัวพิลึก
ที่ว่าดูน่ากลัวนี่หนูไม่ได้พูดเองนะพ่อจ๋า
แต่สังเกตจากบรรดาเพื่อนๆ ที่เห็นแผลแล้วแทบลมจับ
ต่างคนต่างเสนอยาให้กันใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นยาเกาหลีจากซันนี่
หรือยาญี่ปุ่นของเคย์ แล้วหนูก็ลองทั้งสองขนานเลย
เริ่มจากตอนเย็นใช้ยาของเคย์ที่เหมือนมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย
ทำให้แสบสุดๆ แล้วตอนกลางคืนก็ต่อด้วยยาของซันนี่ ที่เป็นเจล
ทีแรกพี่กันบอกทุกคนว่าไม่ตกใจ แผลแค่นี้ลงทะเลก็หาย
(เพราะหนูบอกพี่เค้าไปแล้วว่าไม่เจ็บ
อันที่จริงบอกคนอื่นไปแล้วเหมือนกัน แต่ไม่มีใครยอมเชื่อเลย
เพราะแผลมันดูเลวร้ายมาก)
แต่ไม่มีใครยอมเชื่อพี่กันเลยสักคน
วันนี้ไม่มีอารมณ์ลงทะเล ถึงแม้จะถูกสอนให้เชื่อเหมือนพี่กัน
เรื่องน้ำทะเลสามารถช่วยให้แผลหายเร็วได้ก็เถอะ ปวดหัวมาก
ถือโอกาสนอนพักระหว่างที่ทุกคนไปทะเลกัน พอทุกคนกลับมาทำอาหารเย็น
ก็ตื่นลงมาอย่างสดใส ช่วยหยิบโน่นจับนี่ได้พอดี
วันนี้อาหารเป็นทาโค
(Taco)
มีอังเดรสเป็นผู้เชี่ยวชาญอาหารชนิดนี้เป็นพิเศษมากำกับ
จำได้ว่าเคยลองทาโคในร้านฟาสต์ฟู้ดของอเมริกันที่มาเปิดในไทยแล้วไม่ชอบเลย
แต่พอมาทานที่นี่วันนี้กลับชอบแฮะ
เพราะว่าเป็นของทำเองหรือว่าเพราะหิวมากก็ไม่แน่ใจ
แล้ววันนี้หนูก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะได้ทำ
นั่นคือการนั่งรถแวนของมหาวิทยาลัยไปผับ เก๋าขนาดไหนล่ะพ่อจ๋า
ลานจอดหน้าผับรถเต็มไปด้วยรถสปอร์ตไม่ก็รถเก๋ง
พวกเรามารถแวนมีตรามหาวิทยาลัย
อันที่จริงไม่เคยคิดด้วยว่าจะได้มาผับ
เนื่องจากอยู่เมืองไทยมายี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่เคยเข้าเลยสักที
มาเสียเด็กเอาที่นี่แหละ
ทีแรกทอนย่าได้ข่าวว่าผับนี่เค้าต้อนรับวันหยุดยาวประจำภาคการศึกษา
โดยให้เด็กที่มีบัตรนักเรียนเข้าฟรี
ที่ไหนได้ต้องเสียเงินค่าเข้าอยู่ดี
อย่างไรก็ตามเมื่อทุกคนมาถึงแล้วก็ตัดสินใจจะเข้าไปดูเสียหน่อย
พวกเราเลยต่อคิวให้ตรวจบัตรประจำตัวกันเพราะอายุต่ำกว่าสิบแปดห้ามเข้า
ทอนย่า พี่กัน หนู และซาร่าผ่านฉลุย พร้อมทั้งได้แถบข้อมือมา
เนื่องจากอายุเกินยี่สิบเอ็ดกันแล้ว
แถบข้อมือบอกถึงราคาค่าเข้าที่ต้องจ่ายมากกว่า
และสิทธิ์ในการซื้อเหล้าได้
อมีเลียก็ผ่านแต่ได้กากบาทที่หลังมือทั้งสองข้างเป็นการบอกว่าอายุไม่ถึงยี่สิบเอ็ด
เข้าได้แต่ซื้อเหล้าดื่มไม่ได้
แล้วยูกิโกะซึ่งเป็นคนต่อมาก็ไม่ผ่าน
เนื่องจากไม่ได้เอาบัตรที่มีรูปพร้อมวันเดือนปีเกิดอย่างใบขับขี่หรือพาสปอร์ตมา
ที่นี้ก็ยุ่งล่ะสิเพราะคนคุมเค้ายืนยันว่าไม่ให้เข้าแน่ๆ
กลุ่มเราออกจากแถวมาปรึกษากันตรงประตูทางเข้า
ได้ความว่านอกจากยูกิโกะแล้ว โลว์ก็ไม่มีบัตรเหมือนกัน
อเมริกันในทีมเราคิดๆๆ กันว่าจะทำอย่างไรดี
ในขณะที่เด็กต่างชาติพากันปลอบใจยูกิโกะและโลว์ที่หน้าเสีย
เนื่องจากโทษว่าตัวเองเป็นตัวการทำให้ทุกคนลำบาก
ระหว่างนั้นเด็กมินเนสโซตาที่ทอนย่านัดไว้ก็มาถึง
(ด้วยรถแวนของทางมหาวิทยาลัยเหมือนกัน
เก๋าพอกัน)
ทีแรกเขาเดินไปเข้าแถวแล้วส่งเพื่อนมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นถึงมายืนจับกลุ่มกันอยู่อย่างนี้
พอรู้ว่าพวกเรามีปัญหาเข้าไม่ได้สองคนเท่านั้นแหละ
กลุ่มเด็กจากมินเนสโซตาทั้งกลุ่มประมาณโหลกว่าที่เดินไปต่อแถวเรียบร้อยแล้ว
(ส่งตัวแทนมาคุยกับพวกเรา เพราะคนมารอเข้าเยอะ
ต้องรีบไปต่อแถวไว้ก่อน) ก็ออกจากแถวมาช่วยกันคิดด้วย
ประมาณว่าจะใช้นโยบายเลือดสุพรรณมาด้วยกันไปด้วยกันของบ้านเรา
คือถ้าเข้าที่นี่ไม่ได้ก็ไปที่อื่นกันดีกว่า
เมื่อเห็นว่าที่ลูกค้าประมาณสามสิบคนยืนจับกลุ่มกันอยู่หน้าประตูทางเข้า
คนคุมเลยมาบอกว่าหยวนให้สองคนที่ไม่มีบัตรเข้าได้
แต่เป็นกติกาเดียวกับพวกอายุไม่ถึงยี่สิบเอ็ด
คือห้ามซื้อเครื่องดื่มก็แล้วกัน พวกเราดีใจกันยกใหญ่
นี่ล่ะจ้าพ่อจ๋า Money Talks
มันมีอยู่ทุกที่ในโลกจริงๆ ด้วยล่ะนะเนี่ย
(ควรจะดีใจหรือเสียใจกันเนี่ย ที่มีเหมือนกันทุกคนในโลก)
รักพ่อค่ะ...
เพนนี
ตอนที่ 6
เพนนีกับพีนัท
ตอนที่ 8
|