กลับไปหน้าแรก HOME กรูปรี
แมวลายหินอ่อน
สมเสร็จ
กระซู่
เก้งหม้อ
ควายป่า
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
นกกระเรียน
กวางผา
ละมั่ง
  กรูปรีเป็นสัตว์จำพวกวัวป่าที่ค้นพบใหม่ล่าสุดของโลกเมื่อประมาณ 60 ปีมานี้เองโดยศาสตร์ตราจารย์ Achille Urbain อดีตผู้อำนวยการสวนสัตว์กรุงปารีส ( Paris Vincennes Zoo ) ประเทศฝรั่งเศษ เป็นบุคคลแรกที่ได้ทำการศึกษาวัวป่าชนิดนี้อย่างเป็นทางการ เริ่มต้นจากได้รับหัววัวสตั๊ฟที่มีเขาลักษณะประหลาดไม่เหมือนกับเขาวัวทั่ว ๆ ไป จากสัตวแพทย์ ดร. M.Sauvel ที่ได้หัวสัตว์นี้จากทางภาคเหนือของกัมพูชา ต่อมาได้รับลูกวัวตัวผู้ที่มีเขลักษณะประหลาดเหมือนกัน 1 ตัวจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจับได้จากป่า Tchep ทางภาคเหนือของกัมพูชา จึงได้ทำการส่งไปเลี้ยงดูและทำการศึกษาที่สวนสัตว์หรุงปารีส ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1937 อีก 3 ปีต่อมา ลูกวัวตัวนี้ได้เสียชีวิตไปก่อนที่จะโตเต็มวัย ทำให้การศึกษาและข้อมูลที่ได้รับเกี่ยวกับวัวเขาประหลาดนั้นมีไม่มากนัก
               กูปรีหรือ “ Kouprey ” เป็นชื่อเรียกในภาษาเขมรที่เรียกลูกวัวป่าของศาสตราจารย์ Urbain ส่วนวัวป่าตัวโต ๆ สีเข้มคล้ำ คนเขมรส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า Kouproh ซึ่งน่าจะเรียกเพี้ยนไปเป็นภาษาไทยว่า โครไพร หมายความว่า วัวป่า ส่วนคนลาวเรียกเรียกกรูปรีว่า วัวบา

แรด
พะยูน
เลียงผา
เนื้อสมัน
นกกระแต้วแล้วท้องดำ
   ลักษณะรูปร่างของกรูปรี มีหนอกหลังเป็นสันกล้ามเนื้อบาง ๆ ไม่โหนกหนาอย่างหนอกหลังของกระทิง มีเหนียงคอเป็นแผ่นหลังห้อยยานอยู่ใต้คอ คล้ายวัวบ้านพันธุ์เซบูของอินเดียแต่จะห้อยยาวมากกว่าโดยเฉพาะกรูปรีตัวผู้มีอายุมาก ๆ เหนียงคอจะห้อยยาวเกือบติดพื้นดิน ใช้แกว่งโบกไปมาช่วยระบายความร้อนได้เช่นเดียวกับหูช้าง ดั้งจมูกบานใหญ่มีรอยเป็นบั้ง ๆ ตามขวางชัดเจน รูจมูกกว้างเป็นรูปเลื่อยวงเดือน ใบหูแคบสั้น ไม่มีสันหระบังหน้าหน้าผากอย่างกระทิงและวัวแดง ใบหน้าของกรูปรีจึงด฿เรียบแบบวัวบ้าน หางยาว ปลายหางมีพู่ขนดกหนา สีขนตามตัวส่วนมากเป็นสีเทาในกรูปรีตัวเมีย และเป็นสีดำในตัวผู้ ส่วนลูกอายุน้อย ๆสีขนตามตัวจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนคล้ายลูกวัวแดง เมื่ออายุมากขึ้น อายุประมาณ 4 – 5 เดือน สีขนตามตัวของตัวเมียจะเปลี่ยนเป็นสีเทาหรือสีขี้เถ้า ส่วนตัวผู้สีจะดำคล้ำขึ้นตามอายุ
                   ขนาดของของกรูปรี โดยเฉลี่ยแล้วตัวผู้จะใหญ่และหนักกว่าตัวเมียมาก ขนาดตัวพอ ๆ กับกระทิง แต่สูงใหญ่กว่าวัวแดง ความยาวของช่วงลำตัวถึงหัว 2.10 – 2.22 เมตร ความสูงที่ไหล่ 1.71 – 1.90 เมตร หางยาว 1 – 1.1 เมตร ถือได้ว่าเป็นวัวป่าที่หางยาวที่สุดของไทย น้ำหนักตัว 700 – 900 กิโลกรัม

เขตการกระจายพันธุ์ของกรูปรี พบอยู่ในแถบภาคใต้ของลาวภาคเนือและภาคตะวันตกของกัมพูชาภาคตะวันตกของเวียดนาม และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา
                  ในประเทศไทยเคยมีกูปรีอาศัยอยู่ตามป่าแถบเทือกเขาพนมดงรักบริเวณจังหวัดสุรินทร์ ศรีษะเกษ บุรีรัมย์ อุบลราชธานีและนครราชสีมา ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนซึ่งติดต่อกับกัมพูชา ต่อมาได้ลดน้อยลงจนมีรายงานการพบกรูปรีอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้าย จำนวน 6 ตัว ในปี พ.ศ. 2491 ต่อมาก็ได้มารายงานการพบเห็นตามคำบอกเล่าของพรานป่าพื้นบ้าน คาดว่ากรูปรีจะเป็นกรูปรีที่ย้ายถิ่นไปตามชายแดนไทย – กัมพูชา
พฤติกรรมความเป็นอยู่ของกรูปรีส่วนใหญ่คล้ายกับพวกสัตว์เคี้ยวเอื้องทั่วไป คือชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ขนาดของฝูงกรูปรีในอดีตมีถึง 30-40 ตัว มีตัวเมียอวุโสและอายุมากที่สุดเป็นผู้นำฝูงปกติชอบหากินตามป่าโปร่งหรือป่าโคกที่มีทุ่งหญ้าแล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ไม่ค่อนอยู่ตามป่าดิบทึบหรือป่าเขาสูง ๆ ชอบกินหญ้า ต่างๆ เป็นอาหารหลักมากกว่าใบไม้
                   ฤดูผสมพันธุ์ของกรูปรีเท่าที่ทราบอยู่ในช่วงเดือนเมษายน ระยะตั้งท้องประมาณ 9 เดือน ออกลูกท้องละ 1 ตัว ลูกกรูปรีแรกเกิดจะมีสีขนเป็นสีน้ำตาลคล้ายลูกวัวแดง จนอายุประมาณ 4-5 เดือน สีขนจะเริ่มเปลี่ยนไป ขนตัวเมียจะเปลี่ยนเป็นสีดำขี้เถ้า ตัวผู้ขนจะเริ่มขั้นเป็นสีดำที่บริเวณคอ ไหล่ และสะโพกก่อน ส่วนบริเวณท้องจะเป็นสีขาว เมื่ออายุมากขึ้นจะเป็นสีดำทั้งตัว

เปรียบเทียบกับสัตว์จำพวกวัวป่าด้วยกัน สถานการณ์ความอยู่รอดของกรูปรีอยู่ในขั้นวิกฤติที่สุดมราสวาเหตุสำคัญคือการถูกล่า คนพื้นเมืองชอบล่ากรีเพราะเนื้ออร่อย ตัวใหญ่ หนังและเขาราคาดี และยังเชื่อว่ากระดูกที่หนอกหลังของกรูปรี และกระทิง นำมาบดละเอียดผสมกับเหล้ากินแล้วร่างกายแข็งแรง และยังช่วยให้ร่างกายอบอุ่นอีกด้วย
                  ในประเทศไทย นับจากรายงานว่า กรูปรีฝูงสุดท้ายจำนวน 6 ตัว ที่ป่าดงอีจาน จังหวัดบุรีรัมย์ ถูกฆ่าตายหมดในปี พ.ศ. 2491 นับจากนั้นมา จึงมีรายงานจากพรานพื้นบ้านว่า พบเห็นกรูปรีอพยพหนีน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน เข้ามาในแถบเขาพนมดงรัก อำเภอขุขันธุ์ จังหวัดศรีษะเกษ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2525 จำนวน 5-6 ตัว แต่ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันแน่ขัดได้ คาดว่ากรูปรีฝูงนั้นได้หนีกลับไปฝั่งกัมพูชาในช่วงฤดูแล้ง และไม่ได้กลับมาให้เห็นอีกเลย