สัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 859 บัญญัติว่า
"คู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและให้หักทอนบัญชีกันเสียในเวลาใด
ๆ ก็ได้
ถ้าไม่มีอะไรปรากฏเป็น
ข้อขัดกับที่กล่าวมานี้"
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ไว้
สัญญาจะสิ้นสุดลงเมื่อบอกเลิกหรือจะถือว่าเลิกสัญญากัน
โดยปริยายเมื่อไม่ถอนเงินและนำเงินเข้าฝากในบัญชี
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็นสองแนว
คือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
373/2543
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการชำระหนี้
จะสิ้นสุดลงเมื่อคู่สัญญาบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและ
เรียกร้องให้หักทอนบัญชีรวมทั้งชำระหนี้ที่มีต่อกัน
โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนกว่าสัญญาเลิกกัน
การที่จำเลยที่ 1
ไม่นำเงินเข้าและไม่ถอนเงินจากบัญชีกระแสรายวัน
ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่
1 บอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาบัญชีเดินสะพัดยัง
มีผลผูกพันจนถึงวันสุดท้ายที่โจทก์กำหนดในหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 4 หน้า 9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
964/2543
สัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงในวันใด
โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกต่อไป
เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบ
เรียบร้อยของประชาชน
หนังสือทวงถามมีข้อความชัดเจนว่า
ภายในกำหนด 15 วัน
นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
หากจำเลยไม่ชำระหนี้ก็ให้สัญญา
บัญชีเดินสะพัดเป็นอันเลิกกัน
จำเลยได้รับหนังสือวันที่
6 กุมภาพันธ์ 2536
กำหนดเวลาชำระหนี้วันสุดท้ายเป็นวันที่
21 กุมภาพันธ์ 2536
เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ภายในวันดังกล่าว
สัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงเลิกกันตั้งแต่วันพ้นกำหนด
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 4 หน้า 35)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
2294/2543
แม้สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระบุว่า
กำหนดชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนและหักทอนบัญชีทุกวันสิ้นสุดของเดือน
หากจำเลย
ที่ 1ผิดนัดงวดใดยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระมาทบเป็นต้นเงินได้
และสัญญาไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด
ใช้บังคับ จนกว่า
จะมีการบอกเลิกสัญญาหรือมีการหักทอนบัญชีและเรียกให้ชำระหนี้คงเหลือ
แต่เมื่อจำเลยที่ 1
ถอนเงินจากบัญชีเมื่อวันที่
23 กรกฎาคม 2536
แล้วไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีอีกเลย
คงมีแต่การหักทอนบัญชีคิดดอกเบี้ยค้างชำระในแต่ละเดือนเท่านั้น
แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่
1
ไม่ประสงค์ให้มีการสะพัดทางบัญชีระหว่างกันอีกต่อไป
สัญญาจึงเลิกกันในวันที่
31 กรกฎาคม 2536
หาได้สิ้นสุดในวันที่
31 ตุลาคม 2539
อันเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ไม่
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 4 หน้า 110)
หมายเหตุ
กำหนดเวลาสิ้นสุดของสัญญาบัญชีเดินสะพัดมีความสำคัญต่อความรับผิดในดอกเบี้ย
หากสัญญายังไม่เลิกกัน
ธนาคารมีสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตลอดเวลา
คดีส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาในเรื่องสัญญาบัญชีเดินสะพัดประเภทไม่มีกำหนดระยะเวลา
คำพิพากษาฎีกาสองเรื่องเรื่องแรก
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยยึดหลักการบอกเลิกสัญญา
แต่คำพิพากษาฎีกาเรื่องหลังยึดถือ
การไม่เดินสะพัดทางบัญชี
กล่าวคือ
ไม่ถอนเงินและไม่นำเงินเข้าบัญชี
เป็นการเลิกสัญญากันโดยปริยาย
คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวขัดกันหรือไม่
และจะยึดถือคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับใดเป็นบรรทัดฐาน
Thailegal เห็นว่า
ไม่น่าจะขัดกัน
เพราะต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า
มีการบอกเลิกสัญญาห่างจากระยะเวลาการนำเงินเข้าฝากและ
ถอนเงินจากบัญชีครั้งสุดท้ายมากน้อยเพียงใด
หากห่างกันมาก
ศาลมักจะยึดถือหลักการเลิกสัญญากันโดยปริยายมาวินิจฉัย
ทั้งนี้
ก็เพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความนั่นเอง
Thailegal
05/02/44
|