ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 149 บัญญัติว่า
"ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
สมาชิกสภาจังหวัด
หรือ สมาชิกสภาเทศบาล
เรียก รับ
หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับ
ตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง
ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
หรือจำคุกตลอดชีวิต
และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
หรือประหารชีวิต"
มาตรา
157 "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย
ทุจริต
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี
หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสอง
หมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ"
มาตรา
161 "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารกรอกข้อความลงในเอกสาร
หรือดูแลรักษาเอกสาร
กระทำการปลอมโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น
ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท"
มาตรา
265 "ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ
ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท"
มาตรา
268 "ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา
264 มาตรา 265 มาตรา 266
หรือมาตรา 267
ในประการที่น่าจะเกิดความ
เสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น
ๆ
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น
หรือเป็นผู้แจ้งให้
เจ้าพนักงานจดข้อความนั้นเอง
ให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว"
จำเลยเป็นกรรมการตรวจข้อสอบและรวมคะแนนในการสอบแข่งขันเข้า
รับราชการตำรวจ
ได้แก้ไขโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ตรวจข้อสอบผิดพลาด
เพื่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งสอบได้โดยหวังผลประโยชน์
จะมีความผิดฐาน
ใดบ้าง ศาลฎีกาได้
วินิจฉัยในคำพิพากษาศาลฎีกาที่
265/2543 ว่า
จำเลยที่
1
มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายเตรียมข้อมูลสถาบันบริการคอมพิวเตอร์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
และได้รับแต่งตั้งจากอธิบดีกรมตำรวจให้เป็นกรรมการ
ตรวจข้อสอบและรวมคะแนนในการสอบแข่งขันข้าราชการตำรวจและบุคคล
ภายนอกผู้มีวุฒิปริญญาตรี
เพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร
และกรรมการได้มอบหมายให้จำเลยที่
1
เป็นกรรมการจัดทำแผ่นเฉลยและคุม
เครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจให้คะแนน
จำเลยที่ 1
ได้ทำการตรวจกระดาษคำตอบ
ของผู้เข้าสอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
ผลการตรวจข้อสอบที่เครื่องคอมพิวเตอร์
ปรากฏว่าไม่ตรงกับที่กองบัญชาการศึกษา
กรมตำรวจ
ได้แต่งตั้งกรรมการเพื่อ
ตรวจกระดาษคำตอบของผู้สอบผ่านด้วยมือ
โดยปรากฏว่ามีบุคคลสอบได้คะแนน
น้อยกว่าที่เครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจและสอบไม่ผ่านข้อเขียน
พยานโจทก์มีความ
เห็นว่าความผิดพลาดเรื่องผลการตรวจกระดาษคำตอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
น่าจะเกิดจากการทุจริต
เพราะคะแนนที่ผิดพลาดดังกล่าวได้สูงขึ้นทั้งสามคน
และ
คะแนนสูงขึ้นอย่างมีระบบคือคะแนนสูงขึ้นในช่วงที่สอบได้ไม่สูงหรือต่ำกว่านั้น
และการผิดพลาดไม่น่าจะเกิดจากการผิดพลาดของเครื่องคอมพิวเตอร์
แต่เกิด
จากการกระทำของบุคคลเป็นผู้กระทำโดยสั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ให้พิมพ์คะแนน
ในกระดาษคำตอบและบันทึกเทปตามความต้องการ
ไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์
เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่
1 มาก่อน
เชื่อว่าได้เบิกความและทำรายงาน
ตามความเป็นจริง
ทั้งมีพยานโจทก์อื่นเบิกความยืนยันว่า
ได้ส่งช่างผู้ชำนาญมา
ตรวจสอบบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขอย่างน้อยเดือนละ
2 ครั้ง ก่อนเกิดเหตุ
และหลังเกิดเหตุปรากฏว่าเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในสภาพปกติ
จึงฟังได้ว่า เครื่อง
คอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำการตรวจข้อสอบอยู่ในสภาพใช้งานได้ตามปกติ
การที่จำเลย
ที่ 1
คุมเครื่องคอมพิวเตอร์ขณะตรวจข้อสอบอยู่เพียงผู้เดียว
มีประสบการณ์และ
ความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์
ย่อมมีความสามารถที่จะแก้ไขโปรแกรมในการ
ตรวจข้อสอบให้เป็นไปตามที่ต้องการได้
จึงฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่า
ความผิดพลาดในการตรวจให้คะแนนในกระดาษคำตอบที่ผิดพลาดเกิดจากการ
กระทำของจำเลยที่ 1
ที่ได้ทำโปรแกรมสั่งเครื่องคอมพิวเตอร์พิมพ์คะแนนลงใน
กระดาษคำตอบและบันทึกคะแนนลงเทปบันทึกข้อมูลซึ่งเป็นเอกสารราชการของ
กองบัญชาการศึกษา
กรมตำรวจ
ตามความต้องการของจำเลยที่
ซึ่งเป็น เจ้าพนักงาน
และมีหน้าที่ทำและกรอกข้อความลงในเอกสารดังกล่าว
ทำการแก้ไข
เพิ่มเติมคะแนนลงในเอกสารดังกล่าวโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น
และการ
แก้ไขคะแนนดังกล่าวเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
โดยเป็น
การกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่กองบัญชาการศึกษา
กรม ตำรวจ
กรรมการตรวจข้อสอบ
ผู้เข้าสอบ
และประชาชน
การกระทำของจำเลยที่ 1
จึงเป็นความผิดตาม ป.อ.
ม.161 และ 265
การที่จำเลยที่
1
มอบกระดาษคำตอบซึ่งตรวจแล้วและเทปบันทึกข้อมูลให้แก่
กรรมการตรวจข้อสอบไปดำเนินการต่อไปในประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย
แก่กองบัญชาการศึกษา
กรมตำรวจ
ผู้เข้าสอบและประชาชน
จึงมีความผิดฐาน
ใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตาม
ป.อ. ม.268
วรรคแรกประกอบด้วย ม.265
และ
เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กองบัญชาการศึกษา
กรมตำรวจ
ผู้เข้าสอบและ
ประชาชน
และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ตาม ป.อ. ม.157 ด้วย
จำเลยที่
1
เป็นเจ้าพนักงานเรียก
รับ
หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด
สำหรับตนเองหรือผู้อื่น
เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่
เมื่อพยานโจทก์ทั้งสามปากไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่
1 ทั้งไม่มี
เหตุสงสัยว่าพยานจะเบิกความปรักปรำจำเลยที่
1
คำพยานดังกล่าวจึงมีน้ำหนัก
น่าเชื่อถือ
การกระทำของจำเลยที่ 1
จึงเป็นความผิดตาม ป.อ.
ม.149
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 1 หน้า 91)
Thailegal
16/11/43
|