อาญา

http:www.oocities.org/thailegal ศูนย์รวมความรู้ทางด้านกฎหมายไทย Update everyweek

<Home> <Webboard> <Guestbook> <Condition> <About Me>
 <
แพ่งและพาณิชย์> <อาญา> <วิธีพิจารณาความแพ่ง> <วิธีพิจารณาความอาญา> <คำคม>
 <
Education> <Legal Word> <Coffee Break><The Rule of Law>

 

ปาราชิก

เกี่ยวกับการสละสมณเพศหรือการลาสิกขาบทจากการเป็นพระภิกษุ ตามพระธรรมวินัยนั้น

ต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่า บุคคลนั้นต้องเป็นพระภิกษุ และต้องอาบัติปาราชิกสี่ข้อใดข้อหนึ่ง แม้จะ

ไม่กล่าวลาสิกขาบทก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุทันทีเมื่อความผิดสำเร็จ (ตามพระไตรปิฎก

ภาษาไทย ฉบับหลวง เล่ม 1 ข้อที่ 10-300)

ปาราชิกสี่ คือ

1. เสพเมถุน

2.เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ตั้งแต่ 5 บาสกขึ้นไป

3. ฆ่ามนุษย์

4. อวดอุตริมนุษสธรรมอันไม่มีในตน


การบอกลาสิกขาบทตามพระธรรมวินัยองค์ประกอบ 2 ประการคือ

1. บุคคลนั้นมี "การกระทำเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง" หมายความว่า ไม่ประสงค์เป็นพระภิกษุอีกต่อไป

มีอาการเบื่อหน่ายเพศสมณะ ประสงค์จะเป็นคฤหัสถ์ (ตามพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เล่ม 1

ข้อที่ 30)

2. มีการเปล่งวาจาให้ผู้อื่นทราบว่าตนเองมีเจตนาลาสิกขาบทจริง การกล่าวนั้นต้องชัดเจน

ไม่กำกวม ไม่มีข้อแม้ ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ มิฉะนั้นจะยังไม่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ (ตามพระไตร

ปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เล่ม 1 ข้อที่ 30 และ 31) การกล่าวเพราะฟุ้งซ่าน เพราะไม่เข้าใจ กล่าวเล่น ๆ

ไม่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ (ตามพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เล่ม 1 ข้อที่ 32)

แต่อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยคดีของศาลที่เคยปฏิบัติมา มักจะวินิจฉัยคำว่า "สละสมณเพศ"

ในรูปแบบของการแต่งกายเท่านั้นว่า เมื่อจำเลยยินยอมเปลื้องสบงจีวรออก ถือว่าจำเลยลาสิกขาบทแล้ว

โดยไม่ได้วินิจฉัยลึกไปถึงขั้นตอนการลาสิกขาบทตามพระธรรมวินัยข้างต้น เช่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1798/2542

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4499/2539

 (สรุปย่อมาจากหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ เล่ม 4

หน้า 178-180 โดยท่านประคอง เตกฉัตร)

 

Webmaster : Thailegal
more information,contact : thailegal@yahoo.com
Copyright(c)2000,Thailegal,All Right Reserved