พ่อเล้าผู้ใหญ่
คดีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่
13 ธันวาคม 2512 นาย ป.
กับพวกไปเที่ยว
ที่ซ่องโสเภณีของนาง
จ.
และได้ร่วมหลับนอนกับนาง
ส. และนาง ล. ซึ่งเป็น
หญิงโสเภณีแล้วนาย
ป. ได้พานาง ส. และนาง ล.
มาที่บ้านของนาย ป.
ซึ่งเป็น
ซ่องโสเภณีเช่นกัน
นาง ส. และนาง ล.
ได้พักและรับจ้างทำการค้าประเวณีกับ
ชายอื่นที่บ้านนาย
ป. จนกระทั่งวันที่ 16
เดือนและปีเดียวกัน
นาง ล. จึงหนีไป
แจ้งความที่สถานีตำรวจเป็นคดี
พนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ดได้ยื่นฟ้อง
นาย ป. เป็นจำเลยที่ 1
และ
นาย
ก. เป็นจำเลยที่ 2 ว่า
เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม
2512
เวลากลางคืนหลังเที่ยง
จำเลยทั้งสองเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น
ร่วมกันเป็นธุระ
จัดหา ล่อไป หรือ
ชักพานาง
ล. อายุ 17 ปี และ นาง ส.
อายุ 17 ปี
ไปเพื่อการอนาจาร
โดยใช้
อุบายหลอกลวงว่าจะพานาง
ล. และนาง ส.
ไปทำงานได้ค่าจ้างแพง
ซึ่งความ
จริงจำเลยทั้งสองต้องการนำผู้เสียหายทั้งสองไปเพื่อทำการค้าประเวณี
ผู้
เสียหายทั้งสองหลงเชื่อยินยอมไปกับจำเลยทั้งสอง
จึงถูกพาเข้าซ่องโสเภณี
และถูกบังคับให้ทำการค้าประเวณี
ครั้นระหว่างวันที่ 14
ถึงวันที่ 15 ธันวาคม
2512
เวลากลางวัน
จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำให้ผู้เสียหายทั้งสองปราศ
จากเสรีภาพในร่างกาย
โดยหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ในห้องและใส่กุญแจขัง
ไว้
และร่วมกันบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายทั้งสองรับร่วมประเวณีกับชายทั่ว
ๆ
ไป
ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 282,
283,310,83,91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า
จำเลยที่ 1
เป็นธุระจัดหา ล่อนาง
ส.
กับนาง
ล. อายุยังไม่เกิน 18 ปี
ไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น
โดยบังคับ
ให้ค้าประเวณีกับชายทั่วไปจริง
จึงพิพากษาว่ามีความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา
มาตรา 282,310
แต่ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่
1 ใช้อุบายหลอก
ลวงผู้เสียหาย
จึงลงโทษตามมาตรา 283
ไม่ได้
ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม
มาตรา
282
ซึ่งเป็นกระทงหนักตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 91
จำคุกมีกำหนด
1 ปี สำหรับจำเลยที่ 2
ยังฟังไม่ถนัดว่าร่วมกระทำผิดกับ
จำเลยที่
1 พิพากษายกฟ้อง
จำเลยที่
1 อุทธรณ์
โจทก์ไม่อุทธรณ์
คดีเฉพาะตัวจำเลยที่
2 จึง
ถึงที่สุด
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า
จำเลยที่ 1
กับพวกพาผู้เสียหายไปเพื่อให้
สำเร็จความใคร่ของตนเอง
มิใช่ของผู้อื่น
การกระทำของจำเลยที่ 1
ใน
ตอนนี้
จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 282 และ
ไม่ได้ความว่าจำเลยที่
1
ได้หลอกลวงผู้เสียหาย
ผู้เสียหายไปกับจำเลย
ที่
1
กับพวกเพื่อร่วมประเวณีโดยสมัครใจ
ทั้งไม่ได้บังคับให้ผู้เสียหาย
ทั้งสองค้าประเวณี
หากแต่ผู้เสียหายทั้งสองสมัครใจค้าประเวณีเอง
กับจำเลยที่
1
ไม่ได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายทั้งสองให้ปราศจาก
เสรีภาพในร่างกายแต่อย่างใด
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น
ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่
1 ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว
เห็นว่า
การที่จำเลยกับพวกตกลงว่าจ้าง
ให้ผู้เสียหายทั้งสองออกไปนอนค้างคืน
ให้ค่าจ้างคนละ 80 บาท
โดย
จ่ายเงินให้
นาง จ.
แล้วพาไปขึ้นรถยนต์โดยสารที่นำมาจอดหน้าบ้าน
นาง
จ.
หลบตำรวจที่ด่านตรวจรถ
พาไปถึงจังหวัดร้อยเอ็ด
ค้างคืนที่บ้าน
ของจำเลยที่
1 ซึ่งเป็นซ่องโสเภณี แม้ผู้เสียหายทั้งสองจะสมัครใจมากับ
จำเลย
และตกลงยินยอมรับจ้างร่วมประเวณีกับชายอื่นต่อมาที่บ้านของ
จำเลยที่
1 ก็ตาม
ก็ถือว่าจำเลยที่ 1
เป็นธุระจัดหา ล่อไป
หรือชักพาไป
เพื่อการอนาจาร
ซึ่งหญิงอายุไม่เกิน 18
ปี จำเลยที่ 1
มีความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 282
ส่วนข้อหาทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพนั้น
ปรากฏว่าจำเลยที่ 1
ได้
กักตัวผู้เสียหายไว้ในห้อง
ใส่กุญแจขังไว้ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึง
รุ่งเช้า
ขึ้นผู้เสียหายทั้งสองจะทำอะไรก็มีผู้ชายคอยควบคุมตลอดเวลา
ทั้ง
จำเลยที่
1 ได้ให้นาง ส.
ฟังว่าเคยมีหญิงคนหนึ่งหนี
จำเลยที่ 1 จับได้
ได้ทุบตีหญิงนั้นเกือบตาย
เป็นการข่มขู่ให้กลัว
นาง ล. เคยบ่นคิดถึง
บ้าน
จำเลยที่ 1
ก็ว่าถ้าบ่นจะส่งเข้ากรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม
2512
จำเลยที่ 1
พาผู้เสียหายทั้งสองไปดูภาพยนตร์ตอนกลางวัน
ระหว่างนั้นนาง
ล. จะเข้าห้องน้ำ
ได้ฝากกระเป๋าใส่เงินไว้กับจำเลยที่
1
จำเลยที่
1 ก็เอาเงินของนาง ล.
ฝากนาง ส. ไว้
บอกว่ากลัวนาง ล. จะ
หนี
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะจำเลยที่
1
ต้องการกักตัวผู้เสียหายทั้งสองไว้
ให้อยู่หาเงินต่อไป
จึงได้มีการควบคุมเอาตัวไว้
เป็นการที่ทำให้ผู้เสีย
หายทั้งสองปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
จำเลยที่ 1
จึงมีความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 310 อีกด้วย
ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ให้ลงโทษจำเลยที่ 1
ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่
891/2515
บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา
282
ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น
เป็นธุระจัดหา ล่อไป
หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิง
แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม
ต้อง
ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี
และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสอง
หมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่บุคคลอายุ
เกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สาม
ปีถึงสิบห้าปี
และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก
เป็นการกระทำแก่เด็กอายุ
ยังไม่เกินสิบห้าปี
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
และ
ปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น
รับตัวบุคคลซึ่งมีผู้จัดหา
ล่อไป
หรือพาไปตามวรรคแรก
วรรคสอง หรือวรรคสาม
หรือสนับสนุนในการ
กระทำความผิดดังกล่าว
ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคแรก
วรรคสอง
หรือวรรคสาม
แล้วแต่กรณี
มาตรา
283
ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น
เป็นธุระจัดหา ล่อไป
หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิง
โดยใช้อุบายหลอกลวง
ขู่เข็ญ
ใช้กำลังประทุษร้าย
ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม
หรือใช้วิธีข่มขืนใจ
ด้วยประการอื่นใด
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่
หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่บุคคลอายุ
เกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ด
ปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นสี่พันบาทถึงสี่หมื่นบาท
หรือจำคุก
ตลอดชีวิต
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก
เป็นการกระทำแก่เด็กอายุ
ยังไม่เกินสิบห้าปี
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
และ
ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
หรือจำคุกตลอดชีวิต
หรือประหาร
ชีวิต
ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น
รับตัวบุคคลซึ่งมีผู้จัดหา
ล่อไป
หรือพาไปตามวรรคแรก
วรรคสอง หรือวรรคสาม
หรือสนับสนุนในการ
กระทำความผิดดังกล่าว
ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคแรก
วรรคสอง
หรือวรรคสาม
แล้วแต่กรณี
หมายเหตุ
ประมวลกฎหมายกฎหมายอาญา
มาตรา 282,283 ได้มีการ
แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
อาญา (ฉบับที่ 14) พ.ศ.2540
มาตรา
310
ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น
หรือกระทำด้วยประการ
ใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก
เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว
ถูกกักขัง
หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
หรือ
รับอันตรายสาหัส
ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา
290
มาตรา
297 หรือมาตรา 298 นั้น
|