อาญา

http:www.oocities.org/thailegal ศูนย์รวมความรู้ทางด้านกฎหมายไทย Update everyweek

<Home> <Webboard> <Guestbook> <Condition> <About Me>

 <Education> <Legal Word> <Cooffee Break> <The Rule of Law>

 <แพ่งและพาณิชย์> <วิธีพิจารณาความแพ่ง> <วิธีพิจารณาความอาญา> <อาญา> <คำคม>

 
เด็กช่างกลบังคับเอาเสื้อฝึกงานนักศึกษาต่างสถาบัน

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 บัญญัติว่า

"ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป
(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ
(5) ให้พ้นจากการจับกุม
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับ ตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้าความผิดนั้นเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราหนึ่ง อนุมาตราใดแห่งมาตรา 335 หรือเป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกล หรือเครื่องจักรที่ผู้มีอาชีพกสิกรรมมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่น บาท 
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต"

นักศึกษาช่างกลขู่เข็ญบังคับเอาเสื้อฝึกงานจากนักศึกษาต่างสถาบันกัน เพื่อแสดง ความกล้าและความสามารถให้รุ่นพี่ดู จะมีความผิดฐานใดบ้าง ศาลฎีกาได้วินิจฉัย ไว้ในคำพิพากษาฎีกาที่ 507/2543 ว่า

จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในทันใดภายหลังเกิดเหตุ และให้การในวันเดียว กันนั้นว่า จำเลยและ ต. ตกลงกันว่าหากพบเห็นนักศึกษาต่างโรงเรียนก็ให้แย่งเสื้อ ตัวที่นักศึกษาของสถาบันนั้นมาให้ได้ โดยไม่ปรากฏข้อความใดว่าจำเลยไม่มีเจตนา ประสงค์ต่อทรัพย์ ทั้งพฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาเช่นนั้น จำเลยก็มิได้ กล่าวอ้างไว้ ตรงกันข้ามจำเลยกลับนำชี้ที่เกิดเหตุและแสดงท่าให้เจ้าพนักงานตำรวจ ถ่ายรูปไว้ประกอบคำรับสารภาพหลังจากรับทราบข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานชิงทรัพย์ ชั้นพิจารณาจำเลยก็มิเคยหยิบยกประเด็นขาดเจตนาลักทรัพย์ขึ้นแถลงต่อศาล คำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยนั้นเชื่อว่าจำเลยกระทำด้วยความ สมัครใจและตามความเป็นจริง เพราะจำเลยถูกจับกุมแทบจะทันใดภายหลังเกิดเหตุ จึงไม่อาจคิดหาข้อแก้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดได้ทัน ทั้งตามพฤติการณ์ที่จำเลยจับ เสื้อช๊อปของผู้เสียหายไว้ขณะที่พูดขอเสื้อ ครั้นถูกปฏิเสธจำเลยจึงล้วงมีดคัทเตอร์ ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อผู้เสียหายถูกพวกของจำเลยต่อย จำเลยก็เข้าชกต่อย ผู้เสียหายจนกระทั่งได้เสื้อช๊อปของผู้เสียหายมา เข้าลักษณะเป็นการคุกคามขู่เข็ญ ให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่กายหากผู้เสียหายไม่ยอมตามที่จำเลยต้องการ ผู้เสียหาย ถอดเสื้อช๊อปให้จำเลยเพราะกลัวว่าจะถูกทำร้ายอีก จึงมิใช่การให้ทรัพย์ด้วยความ สมัครใจ แต่เป็นไปเพราะอยู่ใต้อำนาจบังคับของจำเลย จำเลยได้ไปซึ่งเสื้อช๊อปของ ผู้เสียหายแล้วจึงหยุดขู่เข็ญ พร้อมกับลงจากรถโดยสารคันเกิดเหตุ อันเป็นเครื่อง แสดงเจตนาว่าจำเลยประสงค์ต่อเสื้อช๊อปเป็นสำคัญ จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ ส่วนที่จำเลยอ้างว่ากระทำไปเพราะต้องการแสดงความกล้าและความสามารถให้รุ่นพี่ ของจำเลยเห็นนั้น เป็นเพียงมูลเหตุจูงใจที่ชักนำให้จำเลยตัดสินใจกระทำความผิด ไม่มีผลให้จำเลยพ้นจากความรับผิดไปได้

อุทาหรณ์ของผู้ที่ต้องการแสดงความกล้าและความสามารถเพื่อให้รุ่นพี่ยอมรับ ผลคือ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 2 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน

(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ ปี 2543 เล่ม 1 หน้า 143)

อนึ่ง เคยมีคำวินิจฉัยกรณีการขู่เข็ญให้นักศึกษาต่างสถาบันถอดเสื้อฝึกงานและ
แหวนรุ่นให้ ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2539 ว่า 

จำเลยกับพวกขึ้นไปบนรถโดยสารประจำทางบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายถอดเสื้อฝึกงาน และแหวนรุ่นทำด้วยเงินซึ่งมีราคาเล็กน้อย จำเลยกับพวกกระทำไปเป็นการแสดง อำนาจบาตรใหญ่ด้วยความคะนองเพื่อให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นนักศึกษาต่างสถาบันที่มี เรื่องทะเลาะวิวาทกับสถาบันของจำเลยเห็นว่าเป็นคนเก่งพอที่จะรังแกคนได้ ตามวิสัยวัยรุ่นที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อยเท่านั้น มิใช่มุ่งหมายเพื่อจะได้ประโยชน์ จากทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพตาม ป.อ. ม.309 วรรคแรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง จึง ต้องลงโทษตามที่พิจารณาได้ความ ส่วนเสื้อฝึกงานและแหวนเงินจำเลยไม่มีสิทธิ ยึดถือไว้ ต้องคืนแก่ผู้เสียหาย หลังจากถอดเสื้อฝึกงานและแหวนเงินแล้วกลุ่มเพื่อน ของจำเลย 3 คน ได้ชกต่อยผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในระยะ
1 ฟุต แต่ผู้เสียหายยกขาและแขนขึ้นปิดป้องไว้ และกระสุนปืนถูกกระดุมเสื้อซึ่งเป็น แผ่นเหล็ก เห็นเหตุให้ไม่ถูกอวัยวะส่วนสำคัญ ถือได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงโดยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผล จึงมีความผิดตาม ป.อ. ม.288,80 และ ม.371

(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ ปี 2539 เล่ม 5 หน้า 169)

ปัญหาว่า คำพิพากษาฎีกาที่ 507/2543 กลับหลักคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2539 
หรือไม่ เห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีของทั้งสองคดีแตกต่างกัน คือ คดีปี 2543 ปรากฏ ข้อเท็จจริงว่าได้มีการตกลงว่าจะแย่งเสื้อฝึกงาน และเมื่อได้เสื้อฝึกงานแล้วจำเลยก็
กลับไปโดยมิได้ทำการอย่างอื่นอีกอันจะแสดงให้เห็นว่าเสื้อฝึกงานที่ได้ไปเป็นเพียง พยานหลักฐานที่จะให้รุ่นพี่และเพื่อนเห็นว่าได้ไปทำการข่มเหงนักศึกษาต่างสถาบัน มาแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นว่าจำเลยมีความประสงค์ต่อทรัพย์ แต่คดีปี 2539 ปรากฏ ข้อเท็จจริงว่าหลังจากจำเลยได้เสื้อฝึกงานและแหวนแล้วยังใช้อาวุธปืนยิง  พยาน หลักฐานจึงบ่งชี้ว่าจำเลยกระทำไปเพื่อต้องการข่มเหงนักศึกษาต่างสถาบันมากกว่า ความประสงค์ต่อทรัพย์ โดยจะนำเสื้อฝึกงานและแหวนเงินไปเป็นหลักฐานแก่รุ่นพี่ และเพื่อนว่าทำมาแล้วเท่านั้น ข้อเท็จจริงทั้งสองคดีจึงแตกต่างกัน น่าจะไม่ใช่การ กลับหลักแต่อย่างใด ดังที่ท่าน สมศักดิ์ เอี่ยมพลับใหญ่ ได้บันทึกไว้ในหมายเหตุ ท้ายคำพิพากษาฎีกาที่ 507/2543

Thailegal 24/11/43  



 

Webmaster : Thailegal
more information,contact : thailegal@yahoo.com
Copyright(c)2000,Thailegal,All Right Reserved