ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 68 บัญญัติว่า
"ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ
กฎหมาย
และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ
การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้นั้นไม่มีความผิด"
หลักเกณฑ์การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
1.
มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
2.ภยันตรายนั้นใกล้จะถึง
3.ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง
หรือของผู้อื่น
ให้พ้นจากภยันตรายนั้น
4.
การกระทำโดยป้องกันสิทธินั้นไม่เกินขอบเขต
การป้องกันเกินขอบเขตมี
2 กรณี คือ
1.
การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
2.
การป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
การป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ประกอบด้วยหลัก
1.
ผู้ป้องกันได้กระทำการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายนั้น
ด้วยวิถีทางน้อยที่สุดเท่าที่จำต้องกระทำ
หรือที่เรียกว่า
ทฤษฎีวิถีทางน้อยที่สุด
และ
2.
ผู้ป้องกันได้กระทำการป้องกันโดยได้สัดส่วนกับภยันตราย
หรือที่เรียกว่า
ทฤษฎีสัดส่วน
ผู้ตายใช้เท้าถีบรถจักรยานยนต์ของจำเลยจนล้มลงแล้วเข้าชกต่อยทำร้าย
จำเลยจึงใช้มีดทำครัวแทงผู้ตายไป
1 ที ที่บริเวณ
อวัยวะสำคัญ
เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ผู้เสียหายเข้าถีบจำเลย
จำเลยจึงใช้มีดแทงอีก
1 ที เช่นนี้
การกระทำของจำเลย
เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่
649/2543 ว่า
ผู้ตายเป็นคนก่อเรื่องขึ้นจากกรณีไม่พอใจที่มีคนมองหน้าบริเวณลานจอดรถหน้าร้านอาหาร
ถึงขนาดให้ผู้เสียหายจอดรถ
กลางสะพาน
และไม่ทันที่ผู้เสียหายจอดรถ
ผู้ตายก็ลงจากรถไปก่อน
แล้วยืนดักคอยรถของจำเลยที่กลางสะพาน
แสดงถึง ความวู่วาม
อารมณ์ร้อนและไร้เหตุผลของผู้ตาย
เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์มาถึง
ผู้ตายก็แสดงตนเป็นอันธพาล
ใช้เท้า
ถีบรถจักรยานยนต์จนล้มลง
ทั้งยังเข้าชกต่อยทำร้ายจำเลย
ขณะนั้นเป็นยามวิกาล
เมื่อจำเลยถูกทำร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุ
พฤติการณ์ในลักษณะจู่โจมและเกิดขึ้นโดยฉับพลันทันทีของผู้ตาย
ย่อมมีเหตุที่ทำให้จำเลยเข้าใจไปได้ด้วยสามัญสำนึกของ
คนทั่วไปว่าผุ้ตายกับพวกอาจดักรอชิงรถจักรยานยนต์
หรือมิฉะนั้นก็อาจประสงค์ร้ายต่อภริยาจำเลยที่นั่งซ้อนท้าย
รถจักรยานยนต์มากับจำเลย
ยิ่งไปกว่านั้นจากคำเบิกความของผู้เสียหายตอบคำถามค้านก็ยอมรับว่าผู้เสียหายสูง
172 เซนติเมตร
ส่วนผู้ตายสูง 159
เซนติเมตร
และระหว่างผู้เสียหาย
ผู้ตาย กับจำเลยนั้น
จำเลยเตี้ยที่สุด
ซึ่งตรงตามภาพถ่าย
ที่ปรากฏในหมาย จ.13 ถึง
จ.18
ว่าจำเลยมีรูปร่างเล็กมาก
ไม่มีทางสู้แรงปะทะของผู้ตายและผู้เสียหาย
หรือหนีรอดพ้น
จากการกระทำเยี่ยงอันธพาลของผู้ตายได้
การที่จำเลยซึ่งมีอาชีพเป็นพ่อครัวที่พกติดตัวเป็นอาวุธแทงผู้ตายเพียง
1 ที
แต่บังเอิญไปถูกอวัยวะสำคัญ
ผู้ตายจึงถึงแก่ความตาย
และเมื่อผู้เสียหายเข้ามาถีบจำเลย
จำเลยย่อมเข้าใจไปได้เช่นกันว่า
ผู้เสียหายได้เข้าช่วยรุมทำร้ายจำเลย
จำเลยจึงใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงผู้เสียหายเพียง
1 ที เช่นกัน
การกระทำของจำเลย
จึงเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ไม่เป็นความผิด
มิใช่ป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 4 หน้า 26)
Thailegal
05/02/44
|