อำนาจสอบสวนคดีจูนโทรศัพท์มือถือ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 121 บัญญัติว่า
"พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง
แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว
ห้ามมิให้ทำการสอบสวน
เว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ"
พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาลักทรัพย์และร่วมกันจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการ
วิทยุคมนาคมเพิ่มเติม
โดยไม่มีคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายได้หรือไม่
และตำรวจท้องที่ที่บริษัทจำเลยตั้งอยู่หรือท้องที่ที่
ผู้เสียหายอยู่มีอำนาจสอบสวน
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่
781/2543 ว่า
"ความผิดในข้อหาลักทรัพย์และข้อหาร่วมกันจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม
เป็นคดีอาญา
แผ่นดินอันมิใช่เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวที่ห้ามพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบตาม
ป.วิ.อ.ม.121 วรรคสอง
เมื่อมีความผิดอาญาแผ่นดินเกิด
หรืออ้าง
หรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้น
และก่อให้เกิดความเสียหายแก่
ประชาชนหรือหน่วยงานของรัฐ
ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าพนักงานตำรวจที่ต้องสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดให้พนักงาน
สอบสวนทำการสอบสวนเพื่อเอาความผิดแก่ผู้กระทำผิดอาญาทั้งปวงตาม
ป.วิ.อ.ม.18 ประกอบ ม.121
วรรคหนึ่ง ไม่ว่า
จะมีผู้เสียหายร้องทุกข์หรือมีผู้กล่าวโทษผู้กระทำผิดหรือไม่
การสอบสวนของพนักงานสอบสวนรวมทั้งการที่พนักงานอัยการ
สั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลย
จึงเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว
ความผิดทั้งสองฐานตามฟ้องเกิดจากโจทก์กล่าวอ้างว่า
จำเลยกับพวกนำโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หมายเลข
ประจำเครื่องมาปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่เป็นหมายเลขประจำเครื่องของผู้เสียหายซึ่งได้รับอนุญาตจากการสื่อสาร
แห่งประเทศไทย
แม้จำเลยกับพวกจะกระทำการดังกล่าวที่บริษัทของจำเลย
แต่ผลของการกระทำก็เกิดขึ้นแก่โทรศัพท์
มือถือของผู้เสียหาย
ทำให้โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายถูกรบกวน
จึงเป็นความผิดต่อเนื่องที่กระทำต่อเนื่องกันระหว่าง
ท้องที่ที่บริษัทจำเลยตั้งอยู่กับท้องที่ที่ผู้เสียหายนำโทรศัพท์มือถือไปใช้แล้วเกิดขัดข้องซึ่งอยู่ในท้องที่
สน.พญาไท พนักงาน
สอบสวน สน.พญาไท
จึงมีอำนาจสอบสวน
การสอบสวนได้กระทำโดยชอบแล้ว
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โทรศัพท์มือถือที่
ช.
ซื้อมาจากบริษัทจำเลยผ่านทาง
ม. นั้น
เป็นโทรศัพท์ที่คนของบริษัทจำเลยทำการลักลอบปรับเปลี่ยน
ช่องสัญญาณความถี่เป็นช่องสัญญาณโทรศัพท์หมายเลขของผู้เสียหาย
ซึ่งถือได้ว่าเป็นการรบกวนและขัดขวางการใช้
โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายอันเป็นความผิดตาม
พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498
ม.26
และเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้ง
ข้อหาเพิ่มเติมว่าร่วมกันจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม
จำเลยก็ให้การรับสารภาพ
จาก
พยานหลักฐานของโจทก์และพฤติการณ์แห่งคดี
แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยน
ช่องสัญญาณความถี่หรือถอดรหัสสัญญาณโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย
ก็ฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือสมรู้ร่วมคิด
กับพวกอันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมประกอบธุรกิจอันไม่ชอบ
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 3 หน้า 39)
Thailegal
27/01/44
|