กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ข้อ 8.
คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ชอบ
เพราะตามข้อตกลงในสัญญากู้เงินดังกล่าว
หมายความว่าเมื่อต้นเงินกู้หรือดอกเบี้ยถึงกำหนดชำระ
เงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของ
นายดำจะต้องมีอยู่
ธนาคารรวยทรัพย์จึงจะหักเงินในบัญชีนั้นชำระหนี้เงินกู้หรือดอกเบี้ยค้าง
ชำระได้
ส่วนจะหักเงินนั้นชำระหนี้เมื่อใดเป็นสิทธิของธนาคารรวยทรัพย์
แต่ถ้าเงินในบัญชี
เงินฝากนายดำไม่มีหรือมีแต่ได้หักชำระหนี้ต้นเงินกู้หรือดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดชำระหมดแล้ว
การหักเงินชำระหนี้ภายหลังอีกย่อมไม่อาจกระทำได้เพราะไม่มีเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่จะให้หัก
ฉะนั้น
การที่นายดำนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ภายหลังที่ธนาคารรวยทรัพย์นำหนี้ที่
คงเหลือมาฟ้องขอให้นายดำล้มละลายได้เพียง
1 เดือน
และธนาคารรวยทรัพย์นำเงินในบัญชีนั้น
ไปหักชำระหนี้อีก
ย่อมมีผลเป็นอย่างเดียวกับการที่นายดำนำเงินนั้นไปชำระหนี้ให้ธนาคาร
รวยทรัพย์โดยวิธีการข้างต้นทั้งที่ไม่มีเงินพอชำระหนี้ให้เจ้าหนี้อื่น
การกระทำของนายดำจึง
ทำให้ธนาคารรวยทรัพย์ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น
ชอบที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีคำขอให้
เพิกถอนการกระทำนั้นได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
พ.ศ.2483 ม.115
ส่วนการที่นายดำนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เพื่อชำระหนี้แก่ธนาคารรวยทรัพย์หลังจาก
ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายดำเด็ดขาด
ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ
ม.22 และ ม.24 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483
จึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มี
อำนาจเพิกถอนการชำระหนี้นั้นได้
และเมื่อการชำระหนี้นายดำจะต้องถูกเพิกถอน
ก็ไม่มีเงิน
ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของนายดำที่ธนาคารรวยทรัพย์จะนำมาหักกลบลบหนี้กับหนี้เงินกู้
ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 ม.102 ได้ (ฎ.2300/2533)
Thailegal
17/01/44
|