NicholE LinK

 

สัมภาษณ์ นิกกี้ ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด ปี 1998

ก่อนจะอำลาปีเสือ (1998) เข้าสู่ปีกระต่าย (1999) ทำเนียบนักร้องชื่อดังฝ่ายหญิงแห่งปี '41 ผู้ที่คว้าตำแหน่งนี้ไปครองคงต้องยกให้สาวลูกครึ่งไทย-อเมริกัน "นิโคล เทริโอ" สาววัย 26 ปี เจ้าของอัลบั้ม "กะโปโลคลับ" ซึ่งนอกจากจะโกยยอดล้านตลับให้ค่าย "แกรมมี่แกรนด์" ยิ้มแป้นแล้ว ยังสร้างกระแสทรงผมนิโคล ให้ระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมือง ย้อนมาดูประวัติของเธอสักนิดแล้วกัน "นิโคล เทริโอ" เกิดวันที่ 23 มิถุนายน 1972 (2515) จับพลัดจับผลูเข้าสู่วงการเพลงตั้งแต่ปี 1996 จากการประกวด "จอห์นนี่วอล์คเกอร์ สตาร์เซิร์ช" และชิมรางด้วยการร้องเพลง "ไม่แน่ใจ" ประกอบละคร "เงามรณะ" ซึ่งละครเรื่องนี้ถ้าพูดถึงความดังก็ไม่เท่าไหร่ แต่เพลงประกอบละครนั้น เปรี้ยงแล้วเปรี้ยงอีก ดี.เจ. เปิดกันสนั่นคลื่น ดังซะจนคอเพลงอยากเห็นตัวจริง เพื่อให้เข้าแผนการตลาด ต้นสังกัดแกรมมี่แกรนด์ก็ส่ง "นิโคล เทริโอ" ออกมาเป็นนักร้องอย่างเต็มตัว ด้วยเสียง ใสๆ สไตล์ "กะโปโล" หลังจากที่โด่งดังจากการเป็นนักร้องได้พักใหญ่ ข่าวที่ไม่สู้ดีก็ตามเข้ากระหน่ำ ทั้งข่าวที่ว่าดังแล้วหยิ่ง และข่าวเกี่ยวกับบรรดาแฟนหนุ่มทั้งหลายทั้งปวง ปัญหาจากข่าวต่างๆนี่เอง ที่ทำให้เธอเกิดอาการท้อ จนเกือบจะหันหน้าออกจากวงการ ดีที่คนใกล้ชิดคอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง "นิโคล" เอง เธอก็ยอมรับว่าชีวิตหลังจากที่มีชื่อเสียงเข้ามามีความเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก โดยเธอจะเปิดใจให้ฟังกันแบบหมดเปลือกว่า

"ช่วงแรกๆยังไม่รู้สึกว่าเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่เพราะนิโคลทำงานทุกวัน ค่อนข้างที่จะเหนื่อยและชีวิตก็ไม่ได้หยุดเลย แต่พอมีเวลาว่างก็จะรู้สึก คือมันจะเปิดโอกาสให้เราได้คิดว่ามันก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน ก็คือชีวิตส่วนตัวก็หายไป เวลาไปไหนคนก็จะมองจะรู้จัก บางทีก็รู้สึกอบอุ่นดี แต่บางทีก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน ทำตัวไม่ค่อยถูก ก็ไม่ถึงกับอึดอัด แต่ว่ารู้สึกจะทำตัวตามสบายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้เลย จะหาเวลาอยู่บ้านไปเลย แทนที่จะไปเดินสยามฯ มาบุญครอง จะใช้เวลาพักอยู่บ้านมากกว่า"

"ส่วนถ้าจะพูดถึงสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต ก็มีเยอะมาก สิ่งที่หายไปก็จะมีอยู่อย่างเดียวคือความเป็นส่วนตัว พูดได้เลยว่าหายไปเลย อย่างบางทีนิโคลอยากจะนั่งและคิดอะไรไปเรื่อย โดยไม่ต้องกังวลว่ามีคนมามองเราอยู่หรือเปล่า เราทำตัวโอเคไหม มันจะอยู่ในหัวตลอดเวลา ซึ่งบางทีมันก็ยากเหมือนกัน มันก็เป็นธรรมชาติของคน คือ เวลาทำงานเราก็ตั้งใจทำงาน แล้วเมื่อเราว่างเมื่อไหร่สมองเราก็สั่งว่าให้เราทำตามสบาย แต่มันก็ทำไม่ได้"

"ซึ่งนิโคลทำใจมาแล้วนะคะว่า สิ่งที่เราได้มากับสิ่งที่เราหายไป มันคุ้มมากเพราะโอกาสที่ได้มาอยู่ตรงนี้ นิโคลก็ดีใจและคิดว่าเป็นโอกาสที่ดี มันได้มาไม่ง่ายเลย แต่ที่หายไปคือชีวิตส่วนตัวที่นิดๆ หน่อยๆ ที่มาสะกิดใจเรา ก็คิดว่าอย่าไปซีเรียสมากเพราะว่าเราได้มาเยอะเหมือนกัน"

?? ส่วนความท้อแท้ที่ทำให้เกือบหันหลังให้วงการ เจ้าของเพลงกะโปโลบอกว่า ??

มันมีช่วงที่เหนื่อยแต่แฟนเพลงไม่เข้าใจก็เลยถูกมองว่าหยิ่ง "ก็ไม่ถึงกับหันหลังหรอกนะคะ อาจจะเพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่เหนื่อยมาก ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯเลย ไปทัวร์ของอัลบั้มเสร็จก็ไปทัวร์ของสินค้าอันนึง มันไม่มีช่วงหยุดเลย อยู่ต่างจังหวัดตลอดและก็ไม่ได้เจอกับใครเลย แม้แต่คุณพ่อคุณแม่ ช่วงนั้นก็จะมีออกมาบ้างว่าหยิ่ง ทำตัวหายไป จะพูดคุยด้วยหน่อยก็ไม่มาให้เห็นหน้ากัน ซึ่งตอนนั้นเราก็เหนื่อยแล้วด้วย คิดว่าถ้าเขาได้มาทราบตรงนี้ว่า เอ้อ...เราก็อยากพบแต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะว่าเราทัวร์คอนเสิร์ตอยู่ ก็คุยกับพี่ๆทีมงานว่าเหนื่อยจังเลย แต่ก็ไม่ถึงกับงอนหรือจะไม่ทำงานตรงนี้แล้ว เพียงแต่รู้สึกแย่เมื่อคนไม่เข้าใจ"

?? สำหรับสาเหตุของคำว่าหยิ่งหรือเปลี่ยนไปนั้น "นิโคล" เองเธอก็พยายามทบทวนด้วยตัวเองซึ่งก็มีสาเหตุหลายประการด้วยกัน ??

"นิโคลก็คิดว่ามันอาจเป็นตอนที่คนเห็นเราตอนเผลอไม่รู้ตัวและเราไม่ได้ยิ้ม มันก็ไม่ใช่ธรรมชาติของคนที่จะมายิ้ม 24 ชั่วโมง และถ้านิโคลกำลังซื้อของอยู่ไม่รู้ตัวหน้าก็จะเฉย ซึ่งหน้านิโคลเองแล้วจะค่อนข้างนิ่งเพราะหน้าจะยุ้ยๆ และดูเหมือนหน้าบึ้ง มีเหตุการณ์หนึ่งเคยเกิดขึ้น ตือ มีคนนึงเรียกเราและเราก็หันไปยิ้มให้เพราะเราได้ยิน เราก็กลับมาคิดว่า เอ้อ...ถ้าเกิดมีคนเรียกแล้วเราไม่ได้ยินเราไม่หันไป และเขาคิดว่าเราได้ยินแต่เราไม่หัน มันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่คนอาจจะคิดว่าเราหยิ่ง มันก็มีหลายสาเหตุที่ทำให้คนสรุปแบบนี้ได้ เพราคนคอยจ้องว่าตัวจริงเราเป็นยังไง เพราะภาพในทีวีจะสดใสร่าเริงมาก ซึ่งจริงๆนิโคลก็มีอยู่ แต่บางมุมก็จะเงียบบ้าง ซึ่งถ้านิโคลเป็นสาวร็อคมาดนิ่ง เวลาเขาเจอเราเฉยๆ เขาก็คงจะไม่แปลกใจอะไร และนิโคลก็ไม่สามารถที่จะรู้ไปหมดว่าเค้ามองเราอยู่นะ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วนิโคลจะเป็นคนเงียบๆ เฉยๆ ขี้อาย เพราะฉะนั้นก็ต้องปรับตัวพอสมควรกับการที่มาอยู่ตรงนี้ แต่ไม่ใช่ภาพที่ออกมาจะขัดกับตัวนะ"

?? ทางด้านกำลังสำคัญทำให้ยังคงทำงานอยู่ตรงนี้ได้อย่างเข้มแข็ง สาวหน้าใสเด็กกว่าวัยกล่าวว่า ??

"ปกตินิโคลเองถ้ารู้สึกเครียดก็จะไม่คุยกับใคร จะนั่งคิดคนเดียว แต่ว่าก็จะมีคุณพ่อคุณแม่คอยเป็นแรงเชียร์ให้ ส่วนทางผู้ใหญ่ที่บริษัทก็จะคอยดูแลนิโคลมาตลอด เขาก็จะฝากกันถามและเรียกเราไปคุยว่าเป็นยังไงบ้าง แค่เขาถามว่าสบายดีหรือเปล่า แค่นี้นิโคลก็ว่ามันเป็นกำลังใจให้นิโคลแล้ว เขาไม่ต้องพูดอะไรให้รู้ว่าเราดูแลกันนะมันก็แทนอะไรได้หลายอย่าง ฟังดูแล้วหลายคนคงคิดว่านิโคลเป็นคนซีเรียสๆ ซึ่งนิโคลก็ว่าอาจจะเป็นด้วยอายุมั้งคะ เพราะนิโคลโตแล้ว และเวลาที่เราคิดอะไรเราไม่ทราบว่า เราเป็นคนคิดมากคิดน้อยเพราะมันเป็นความคิดของเรา เราไม่รู้ว่าเราจะไปเปรียบกับสแตนดาร์ดของอะไร แต่รูว่าเป็นคนที่คิด มีอะไรเข้ามาในชีวิตจะคิดหลายๆแง่มุม"

?? ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะปรับตัวไม่ทันกับชื่อเสียงที่เข้ามาหรือเปล่า และเธอวางจุดสูงสุดของการเป็นนักร้องไว้ตรงไหน อยากเป็นเหมือนนักร้องซูเปอร์สตาร์รุ่นพี่ "เบิร์ด" หรือไม่นั้น นักร้องสาวเสียงเพราะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเจื้อนแจ้วว่า ??

"นิโคลว่าการปรับตัวมันเป็นไปตามธรรมชาติ นิโคลบอกตัวเองว่าไม่รู้สึกว่าเราปรับตัวไม่ทันเพราะเหมือนกับว่าเราได้ผ่านหลายขั้นตอนมา ทำให้เราปรับไปตามธรรมชาติ คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องปรับตัวไม่ทัน นิโคลก็พยายามทำชีวิตให้ปกติที่สุด บางครั้งก็อาจจะพยายามมากไปก็ได้ และถ้าเหนื่อยมากๆ อยากพักผ่อนก็จะอยู่บ้าน ไปเดินซื้อของซึ่งนิโคลว่าถ้าเราเดินบ่อยๆเค้าก็จะชินไปเอง อย่างมีอยู่ห้างหนึ่งเดินจนเขาเห็นบ่อย และไม่สนใจแล้ว แต่เราก็ต้องทำอะไรให้เป็นตัวอย่างที่ดีเพราะมีคนมองเราอยู่ อย่าปรับฝืนชีวิตจนออกไปไหนไม่ได้เพราะเราก็คือคนที่ต้องมีชีวิตข้างนอก ถ้าเราเก็บตัวนานๆคนเห็นก็จะดูแปลก เพราะถ้าอยู่บ้านนานๆ ไม่ได้พูดคุยกับใครมันก็ไม่เป็นธรรมชาติ และเปิดโอกาสให้เราคิดมากด้วย"

"ส่วนจุดสูงสุดของการเป็นนักร้องอาจจะเป็นที่คนฟังยอมรับ และก็ต้อนรับ คงไม่คิดไปถึงพี่เบิร์ด มันน่ากลัวนะคะ ยิ่งสูงยิ่งหนาว มันน่ากลัว ไม่ทราบว่าอยากหรือไม่อยาก ไม่ทราบเหมือนกัน ก็อย่างว่าถ้าเราไม่เป็นพี่เบิร์ด เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันเป็นยังไง นิโคลเชื่อว่าพี่เขามีความสุข แต่สำหรับเรา เราจะสุขมากแค่ไหนไม่รู้เพราะเราไม่เคยไปตรงนั้น"

"ตอนนี้นิโคลเองก็ไม่คิดว่าตัวเองดัง เรายังเป็นเราอยู่ เราดูกระจกก็ยังเป็นไอ้นิกกี้คนเดิม แต่บางทีเราก็รู้สึกกลัวว่าคนที่เขามองเรา มองว่าเราเป็นอะไร เพราะสายตาที่มองมามีทั้งปลื้ม ซึ่งเราก็ดีใจที่เขาปลื้มเรา แต่ก็มีบางสายตาที่เขามองว่าตัวจริงเราเป็นยังไง มันก็มีหลายแบบ นิโคลคิดว่าไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของความดัง เราก็จะปรับไปได้พร้อมกับที่เราไปเพราะมันเป็นชีวิตตอนนั้น อย่างเมื่อก่อนนิโคลอ่านข่าวรายการวิทยุมีแฟนรายการมา 3-4 คน นิโคลก็รู้สึกว่ายิ่งใหญ่แล้ว และตอนนี้มีแฟนเพลงเท่านี้นิโคลก็ยิ่งคิดว่ามันยิ่งใหญ่อยู่"

?? แจกแจงมาซะละเอียดยิบกับความคับข้องใจในพฤติกรรมความเปลี่ยนแปลงของเธอ ซึ่ง "นิโคล" เองเธอก็อึดอัดสุดๆ อยากจะเปิดใจอยู่เหมือนกันรวมถึงเรื่องแฟนหนุ่มด้วยว่า ??

"นิโคลว่าเป็นเรื่องธรรมดานะ นิโคลยอมรับว่าเขาเป็นคนที่สนิทมาก คบกันมาปีกว่าๆ แล้ว จะเรียกเขาว่าแฟนหรือเพื่อนที่รู้ใจก็ได้ นิโคลว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดเลยที่ศิลปินหรือนักร้องจะมีแฟน แต่นิโคลว่ามันเป็นมุมหนึ่งของชีวิตที่น่าะเก็บไว้เป็นส่วนตัว ถ้าสมมติเราพูดเรื่องตรงนี้มากไปมันจะทำให้ตรงอื่นไม่ชัด มันเหมือนกับว่าเชิญชวนให้ทุกคนมาสนใจเรื่องส่วนตัวเรามากๆ ซึ่งนิโคลเป็นคนของประชาชน เราเป็นนักร้องเราก็ร้องเพลง ออกรายการ เล่นคอนเสิร์ต อยากให้คนสนใจตรงนั้นมากกว่า เรื่องส่วนตัวทุกคนก็ทราบๆ กันอยู่แล้วว่าทุกคนก็มีแฟน หลายคนมีสามี มีครอบครัว มันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าจะพูดกันเยอะๆ อยากจะให้เป็นเรื่องงานมากกว่า"

?? แง้มออกมาขนาดนี้แล้วจะไม่ถามต่อก็จะดูกระไรอยู่ เอ้อ...คือว่าใช่คนที่ชื่อ "เจฟฟ์" ลูกครึ่งไทย-อังกฤษ หรือเปล่าจ๊ะ??

"ใช่ค่ะ และเป็นคนๆเดียวที่คบอยู่เพราะในข่าวจะมีเยอะมาก แต่นิโคลมีคนนี้คนเดียวจริงๆ นิโคลไม่ได้ปิดนะคะ นิโคลว่ามันเป็นเรื่องเซนซิทีฟ คือ เรามีแฟนเพลงเยอะมากเลยที่อยากให้เราแฮปปี้มีความสุข เขาก็จะแฮปปี้กับเรา มีจดหมายเขียนมาว่า พี่นิโคลมีแฟนหรือยัง ถ้ามีก็ดีใจด้วยพี่จะได้มีเพื่อนคุย และก็จะมีเขียนมาด้วยว่า ห้ามมีแฟนนะพี่เป็นของหนู และนิโคลเป็นคนๆ เดียว แต่เราต้องสามารถทำให้หลายๆคนแฮปปี้ ไม่อยากที่จะทำให้คนผิดหวังด้วย ก็เลยอย่าไปพูดถึงมันดีกว่า อยู่ตรงกลางดีกว่า แต่นิโคลไม่ได้ปิด เราเพียงแค่ว่าไม่เอาไปเน้น เพราะอาจจะมีหลายคนอยากรู้เรื่อง ก็คิดว่านิโคลให้ข้อมูลเป็นกลางๆ ใครสนใจตรงไหนก็โฟกัสครงนั้น อย่างเมื่อก่อนนิโคลชอบพี่เบิร์ดมาก ณุ้สึกว่าถ้าพี่เขาไปรักคนอื่นเราจะเฮิร์ตมาก ก็เป็นความรู้สึกเดียวกันถ้ามีคนมารู้สึกอย่างนี้กับนิโคลบ้างก็คงจะไม่ดี"

?? อ้าว...แล้วออกมาเปิดเผยแบบนี้ ทางด้สนต้นสังดัดแกรมมี่เขาห้ามหรือเปล่า และเวลาไปไหนมาไหนต้องปิดบังไหม แล้วแฟนเราเขาไม่น้อยใจเหรอ ??

"ไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะชีวิตเราคือชีวิตเราคงไม่มีใครมาบังคับ และเขาก็รู้สึกไม่น้อยใจด้วย เพราะว่าเราเข้าใจกัน เรารูว่ามันเป็นยังไง เขาเป็นคนที่ดีมาก เป็นคนที่ใจดี และเป็นคนที่จิตใจกว้าง เข้าใจ และอะไรตรงไหนที่ไม่ค่อยเคลียร์ก็จะพยายามเข้าใจ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เขาก็พยายามเข้าใจ เพราะบางทีนิโคลเองจะมีอารมณ์เด็กๆ อารมณ์ผู้หญิง ขี้งอน น้อยใจ ซึ่งถ้าเป็นทั้งคู่ก็แย่ เขาต้องเป็นคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเรา ไม่ใช่ในด้านอายุ ต่เป็นข้างใน ไม่ใช่ผู้นำเพราะผู้นำจะสั่งให้เราทำโน่นทำนี่ โน...ไม่เอา ต้องเป็นคนที่ไม่ใช้เหตุผลไม่อยากให้เขาไม่ใช้เหตุผลกลับ ต้องมีคนหนึ่งที่ค่อยๆใช้เหตุผลไป ต้องสื่อสารกันรู้เรื่อง ไม่ใช่ต่างคนต่างแรงใส่กัน มันเป็นอะไรที่อธิบายยากเพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นหลายแบบ และนิโคลเองก็ไปไหนกับเค้าได้ นิโคลว่าถ้าคนสนใจตรงนั้นและมองเหตุการณ์ได้เองก็จะเข้าใจ แต่ถ้าจะให้นิโคลมาประกาศให้ทุกคนทราบก็คงจะไม่ใข่"

ทั้งหมดคือนักร้องสาวที่มาแรงของปีเสือ ที่ไม่ใช่ "เด็กกะโปโล" อีกต่อไป หากเป็นสาวที่พร้อมจะเป็น "เจ้าสาว" เมื่อถึงเวลาอันควร.

มาจาก : หนังสือพิมพ์ช่าวสด