|
วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร |
|
|
|
|
วัดพระสิงห์
วัดพระสิงห์ หรือมีชื่อเต็มว่า วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนสามล้าน ต.พระสิงห์ เป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวรู้จักคุ้นชื่อกันดี
พญาผายู กษัตริย์เชียงใหม่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อบรรจุพระอัฐิของพญาคำฟู
ซึ่งเป็นพระราชบิดา เดิมชื่อว่า วัดลีเชียงพระ บริเวณหน้าวัดแห่งนี้เคยเป็นกาดมาก่อน
ชาวบ้านเรียกว่า กาดลี วัดพระสิงห์มีสิ่งที่น่าสนใจได้แก่ หอไตร สร้างเป็นครึ่งตึกครึ่งไม้
ที่ตัวผนังตึกด้านนอกประดับด้วยทวยเทพปูนปั้นแต่งองค์ทรงเครื่องสวยงาม เป็นฝีมือช่างสมัยพระเมืองแก้ว
ต่อมาในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐได้มีการซ่อมแซมขึ้นใหม่ ประมาณ พ.ศ. 2467 ที่ฐานหอไตรปั้นเป็นลายลูกฟักลดบัวภายในประดับด้วยรูปสัตว์หิมพานต์
และประจำยาม ที่มีลักษณะละม้ายลายสมัยราชวงศ์เหม็งของจีน
นอกจากนี้ยังมีวิหารลายคำ เป็นวิหารทรงพื้นเมืองล้านนาขนาดเล็กกระทัดรัด ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์
ที่ผนังวิหารมีภาพจิตรกรรมโดยรอบ ด้านเหนือเขียนเป็นเรื่องสังข์ทอง ด้านใต้เป็นเรื่องสุวรรณหงส์
ภาพจิตรกรรมดังกล่าวมีความน่าสนใจมากทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องสังข์ทองพบเพียงแห่งเดียวที่นี่
ลักษณะเด่นของภาพจิตรกรรมที่พบในล้านนา อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้สรุปไว้ว่า
" จิตรกรรมในภาคเหนือนิยมเขียนภาพชีวิตประจำวัน เป็นภาพเหมือนชีวิตจริง
ถ้าเรามองดูภาพที่งดงามเรื่องสังข์ทองในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่
เราจะรู้สึกคล้ายกับว่า เราเข้าไปอยู่ในสภาพการณ์ที่เป็นจริงตามความเป็นอยู่เมื่อ
100 ปีก่อน "
บรรจุอัฐิของพระยาคำฟู
พระยาคำฟูเป็นราชวงศ์เม็งรายอันดับที่ ๗ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแสนภู
ราชวงศ์เม็งรายอันดับที่ ๖ เมื่อพระเจ้าแสนภูได้ปกครองเมืองเชียงแสน "เดิมชื่อเมืองเงินยาง"
ปี พ.ศ. ๑๘๕๗ ถึงปี พ.ศ. ๑๘๖๓ ก็เสด็จสวรรคตลง บรรดาข้าราชการพ่อค้าประชาชน
ได้อัญเชิญให้พระยาคำฟูขึ้นครองเมืองเชียงแสนแทน เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๘๗ พระองค์ได้เสด็จสวรรคตลงที่แม่น้ำคำ
อ.เชียงคำ จ.พะเยา พระเจ้าผายูพระราชโอรสจึงได้นำพระอัฐิและพระอังคารมาบรรจุไว้ที่นี้
เมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๘ และเพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา จึงทรงสร้างเมืองขึ้นตรงนี้
ชื่อว่าวัดลีเชียงพระ ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดพระสิงห์ ในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา
ราชวงศ์เม็งรายอันดับที่ ๑๐
จิตรกรรมฝาผนังวิหารลายคำ
วัดพระสิงห์ เชียงใหม่
งานจิตรกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ของเชียงใหม่มีชื่อเสียงมาก ได้แก่ จิตรกรรมฝาผนังในวิหารลายคำ
วัดพระสิงห์ ซึ่งตั้งอยู่ ถนนสามล้าน อำเภอเมืองเชียงใหม่ วัดนี้เป็นพระอารามหลวงชั้น
"วรมหาวิหาร" สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าผายู กษัตริย์ล้านนาอันดับที่
๕ แห่งราชวงศ์มังรายครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๗๙ - ๑๘๙๘ เพื่อบรรจุอัฐิและพระอังคารของพระเจ้าคำฟู
ผู้เป็นพระบิดา เรียกชื่อว่า "วัดลีเชียงพระ" เนื่องจากบริเวณนี้เดิมเป็นตลาด
ต่อมาพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์ล้านนาอันดับที่ ๗ ครองราชย์ในระหว่าง พ.ศ.
๑๙๒๘ - ๑๙๔๔ โปรดให้อัญเชิญ พระพุทธสิหิงค์มาจากเชียงราย ประชาชนจึงเรียกชื่อวัดพระพุทธสิหิงค์
และเรียกสั้นๆ ว่า วัดพระสิงห์ ตั้งแต่นั้นมา
จากการสันนิษฐานของ สน สีมาตรัง กล่าวว่า โครงสร้างสถาปัตยกรรมวิหารลายคำเป็นโครงสร้างเก่าแก่อายุราวพุทธ
ศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๓ แต่งานช่างทั้งอาคารที่เห็นในปัจจุบันอายุราวพุทธศตวรรษที่
๒๓ - ๒๔ แต่ภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นฝีมือ ช่างเขียนในพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ซึ่งเขียนขึ้นภายหลัง
การบูรณะปฏิสังขรณ์
คงมีต่อมาเรื่อยๆ ตามความสำคัญของวัดที่มีมาแต่อดีต
และในพุทธศตวรรษที่ ๒๕ คงมีการ ปฏิสงขรณ์ครั้งใหญ่ทั้งวิหารและเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังขึ้นในคราวเดียวกัน
หรือในระยะเวลาไม่ห่างกันมาก งานช่างทั้งหมด มีแบบแผนและความคิดในการสร้างงานศิลปะเป็นสกุลช่างเดียวกัน
ได้แก่ จิตรกรรมฝาผนังวิหารลายคำวัดพระสิงห์เชียงใหม่กับ จิตรกรรมฝาผนังวิหารจตุรมุขวัดภูมินทร์จังหวัดน่าน
เรื่องราวที่ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนังวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ มีชาดก ๒ เรื่อง
คือ เรื่องสังข์ทอง ซึ่งเขียนบนผนัง ด้านทิศเหนือ เป็นฝีมือของสกุลช่างเชียงใหม่
และเรื่อง "สุวรรณหงส์" เขียนบนผนังด้านทิศใต้เป็นฝีมือสกุลช่างกรุงเทพฯ
จากการวิเคราะห์ภาพจิตรกรรมของ สน สีมาตรัง กล่าวว่า สกุลช่างเชียงใหม่ที่เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านทิศเหนือ
ของวิหารลายคำ เป็นลักษณะการเขียนภาพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวช่าง ซึ่งบ่งบอกถึงความประทับใจของช่างแล้วแสดงออกในภาพ
เป็นแบบอิสระตามความชอบและความถนัดของช่างเขียน มากกว่าจะเป็นแบบทำตามระบบกำกับงานของนายช่างใหญ่หรือผู้ปกครอง
ภาพจิตรกรรมฝาผนังในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ มีลักษณะการเขียนของช่างที่สวยงานประณีตเป็นอันมาก
แสดงออกซึ่งความชำนาญของช่างเขียนที่ได้ถ่ายทอดออกมา มีลักษณะการเขียนที่ผสมผสานระหว่างศิลปะพม่าและรัตนโกสินทร์
ผนวกกับลักษณะเฉพาะของปราสาทล้านนา และเรือนกาแล ที่นิยมสร้างกันสมัยนั้น
ภาพคน คือ ตัวพระ ตัวนาง และภาพตัว กาก (ภาพสามัญชน) มีลักษณะการเขียนที่แสดงถึงลักษณะของคน
ล้านนาในยุคนั้น เครื่องแต่งกายต่างๆ ก็บอกความเป็นคนล้านนา โดยจะสังเกตุเห็นว่าเครื่องแต่งกาย
ของข้าราชการในวังสมัยรัชกาลที่ ๕ ปรากฏอยู่ในภาพ นอกจากนี้ยังปรากฏลักษณะการแต่งกายของชนเผ่าต่างๆ
ที่มีความใกล้ชิดกับชาวล้านนาสมัยนั้นด้วยรูปลักษณ์ของ หน้ากลม ตาสองชั้นเรียวยาว
จมูกเรียวเล็ก ปากรูปกระจับ ทรงผมเกล้ามวยของผู้หญิง และทรงผมผู้ชายเป็นกระจุกอยู่กลางศีรษะที่เรียก
กันว่า"ทรงมหาดไทย" ทุกอย่างที่กล่าวมาบ่งบอกถึงลักษณะของผู้คนชาวล้านนา
ในพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ทั้งสิ้น ส่วนลักษณะการเขียน สถาปัตยกรรมประกอบภาพในเรื่องส่วนประกอบของไม้ใช้เป็นส่วนบน
ปูนใช้ เป็นส่วนกลางและหลังคามุงกระเบื้อง ส่วนรั้วและกำแพง บางจุดเป็นไม้
บางจุดเป็นอิฐมีความละเอียดประณีตมาก ใช้ทองคำเปลว ช่วยให้เกิดความสวยงาม
มีผ้าม่านเป็นฉากกั้นระหว่างห้อง เขียนลายผ้าม่านเป็นลวดลายดอกไม้สวยงามมาก
สีที่ใช้จิตรกรรมฝาผนังในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ เป็นวรรณสีเย็น ซึ่งมีสีน้ำเงินครามและสีเขียวเป็นส่วนใหญ่
นอกจาก นี้ก็มีสีแดง สีเขียว สีน้ำตาล สีดำ และสีทอง ซึ่งใช้เขียนส่วนที่เป็นโลหะปิดด้วยทองคำเปลวตัดด้วยสีแดงและดำ
เช่น เชิงหลังคา และยอดปราสาท สิ่งของเครื่องใช้ เช่น อาวุธ เครื่องประดับ
|
|
|